ล้วงลึก!! น้ำปลาร้าไทยติดปีก จากธุรกิจครัวเรือน เติบโตสู่ตลาดโลก
แค่ได้ยินชื่อ ปลาร้า ใครต่อใครย่อมคิดในใจว่าไม่น่าจะเป็นธุรกิจทำเงินได้
แต่นี่ถึงขั้นผงาดไกลในตลาดโลก จะเป็นไปได้หรือ?!?
หากเป็นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ต้องยอมรับว่าคงจะเป็นไปได้ยาก แต่ พ.ศ.นี้ ทุกอย่างเป็นไปได้และสิ่งนี้ก็กำลังเกิดขึ้นจริง
เมื่อพูดถึงผลิตภัณฑ์ น้ำปลาร้า เดิมทีเคยได้ชื่อว่าเป็นอาหารแปรรูปที่มีการผลิตไว้รับประทานกันเองในครัวเรือน แต่ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา มีการผลิตปลาร้าปรุงสำเร็จในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนหนึ่งก็เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยผลิตปลาร้าบริโภคเอง ก็หันไปซื้อปลาร้ารับประทานกันมากขึ้น เนื่องจากสะดวกและประหยัดเวลา อีกทั้งผู้ผลิตเองก็มีการพัฒนาสูตรจนเป็นที่นิยมของตลาดมากขึ้น
นั่นจึงทำให้ตลาดน้ำปลาร้าเริ่มขยายการผลิตมาสู่ระดับอุตสาหกรรม กระทั่งกลายมาเป็นธุรกิจทำเงินในยุคปัจจุบันที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว
จากข้อมูลของบริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด ผู้ประกอบการที่รุกเข้ามาทำตลาดรีเทล ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำปลาร้าออกสู่ตลาด ระบุว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาธุรกิจน้ำปลาร้ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่บรรดาแม่ค้าส้มตำทั่วเมืองไทยจำเป็นต้องใช้ โดยปัจจุบันตลาดน้ำปลาร้ามีมูลค่าราว 2,000 ล้านบาท แต่ในตลาดยังไม่มีใครทำเป็นแบรนด์อย่างจริงจัง ส่วนใหญ่เป็นรายเล็ก ๆ จึงทำให้มองเห็นโอกาส และเข้ามาบุกตลาดนี้อย่างจริงจัง
ในปีที่ผ่านมา เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป ได้เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ น้ำปลาร้าปรุงรส ตำมั่ว ออกมาชิมลางตลาดเป็นครั้งแรก เพื่อรองรับความต้องการของตลาด โดยชูจุดขายด้านวัตถดิบคุณภาพ สดสะอาด มีมาตรฐานรับรอง และสะดวกสบายโดยที่ลูกค้าไม่ต้องมานั่งกรอง ปัจจุบันวางจำหน่ายในร้านตำมั่วทุกสาขาทั่วประเทศ กรูเมต์ มาร์เก็ต และตัวแทนจำหน่ายอีกกว่า 150 แห่งในต่างจังหวัด
“ที่ผ่านมาเหมือนทดลองตลาด หาดิสทริบิวเตอร์ โดยในปีที่ผ่านมีรายได้กว่า 10 ล้านบาท ทำให้เรามั่นใจ และเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่มากมาย ทั้งปลาร้าบอง และน้ำจิ้มแจ่วบอง โดยวางให้เป็นสินค้าที่จะบุกไปยังต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มวางจำหน่ายที่ประเทศออสเตรเลียและอังกฤษ พร้อมกันนี้ยังเดินหน้าหาตัวแทนจำหน่ายเพื่อส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ”
ผู้บริหารของเซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป ย้ำถึงความสำเร็จของตลาดน้ำปลาร้า พร้อมหมายมั่นปั้นมือว่าสิ้นปี 2561 นี้จะสามารถสร้างการเติบโตเป็น 10 เท่า หรือประมาณ 100 ล้านบาท และภายใน 5 ปีจากนี้ จะมีสัดส่วนรายได้เป็น 10% ของเซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ปทีเดียว
นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต้องมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วทีเดียว ทำให้แม้แต่แบรนด์ใหญ่ยังต้องลงมาเล่น และต่อยอดบุกตลาดไปไกลถึงต่างประเทศ งานนี้แบรนด์เล็ก ๆ คงต้องวางยุทธศาสตร์ตั้งรับกันให้ดี เพราะไม่เช่นนั้น อาจถูกปลาใหญ่ฮุบตลาดเอาได้ง่าย ๆ