ตลาดแรงงานไทยบกพร่องอย่างไร? คนถึงยอมหนีไปทำงานพื้นที่เสี่ยงภัยสงคราม

จากสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์ที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งมีคนไทยที่ไปทำงานในอิสราเอลได้รับผลกระทบและถูกจับเป็นตัวประกันอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งจริงๆ แล้วสงครามระหว่าง 2 ดินแดนนี้เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน และอิสราเอลกับปาเลสไตน์ถือเป็นประเทศที่เสี่ยงภัยสงคราม แต่แรงงานไทยก็ได้เข้าไปทำงานจำนวนมาก โดยอิสราเอลถือเป็นประเทศอันดับที่ 2 ที่แรงงานไทยเข้าไปทำงานรองจากไต้หวัน โดยปัจจุบันมีคนไทยทำงานในอิสราเอลมากกว่า 25,000 คน ส่วนไต้หวันเกือบ 50,000 คน คำถามคือ คนไทยเข้าไปทำงานอะไร และเหตุผลที่ทำให้ต้องยอมเสี่ยงภัยเข้าไปทำงานเกิดจากอะไร?

โดย Business+ พบข้อมูลว่า อิสราเอลมีความต้องการแรงงานต่างชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะงานหนักที่ชาวอิสราเอลเลือกที่จะไม่ทำอย่างเช่น ภาคงานเกษตร ภาคการก่อสร้าง งานดูแลคนชราและผู้พิการ ซึ่งการปฏิเสธงานเหล่านี้ทำให้อิสราเอลต้องนำเข้าแรงงานต่างชาติจำนวนมาก

ซึ่งแรงจูงใจที่ทำให้คนไทยเลือกไปทำงานที่อิสราเอลนั้น นักเศรษฐศาสตร์ได้วิเคราะห์ข้อมูลตลาดแรงงานไทย ที่ทำให้แรงงานจำนวนมากต้องยอมรับความเสี่ยงเหล่านี้ ว่า เกิดจาก 3 ประเด็นหลักๆ นั่นคือ ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง , ค่าแรงไม่เพียงพอต่อรายจ่าย , สวัสดิการที่น้อยกว่า ซึ่งหากเจาะจงเป็นอิสราเอลแล้วนั้น เงินเดือนขั้นต่ำของแรงงานในอิสราเอลสูงกว่าไทย 5-10 เท่า เทียบกับไต้หวัน หรือเกาหลีใต้ซึ่งมีค่าจ้างสูงกว่าไทย 3-10 เท่า นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้แรงงานไทยที่ทักษะต่ำ และทักษะปานกลางเลือกที่จะเสี่ยงกับภัยสงครามในอิสราเอล

สำหรับเหตุผลต่อมาคือ ถึงแม้อิสราเอลจะเผชิญกับความเสี่ยงสงคราม แต่ก็ถือเป็นประเทศที่มีค่าดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index : HDI) ค่อนข้างสูง โดยในปี 2021 อยู่อันดับที่ 22 ของโลก โดยอยู่ที่ 0.919 ซึ่งสูงพอ ๆ กับสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ที่ 0.921 และญี่ปุ่นอยู่ที่ 0.925 ส่วนของไทยอยู่ที่ 0.8 โดยดัชนีการพัฒนามนุษย์เป็นตัวชี้วัดที่รวบรวมโดยโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จโดยเฉลี่ยของประเทศในมิติพื้นฐาน 3 มิติของการพัฒนามนุษย์ นั่นคือ ชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี ความรู้ และมาตรฐานการครองชีพที่ดี ดังนั้น ค่าดัชนีของอิสราเอลที่ค่อนข้างสูงนี้ชี้ให้เห็นได้ว่ามาตรฐานการครองชีพในอิสราเอลนั้น สูงกว่าไทย และหลายประเทศในยุโรปเสียอีก

นักเศรษฐศาสตร์มองค่าแรงไทยถูกเกิน ไม่พอกับรายจ่าย

ทั้งนี้ความเห็นของ คุณอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ค่าแรงถูกไม่เพียงต่อรายจ่ายและการดำรงชีพอย่างมีคุณภาพ บวกกับ ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงผลักดันให้แรงงานไทยทั้งทักษะต่ำและทักษะปานกลางเสี่ยงโชคทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัยสงครามแลกค่าแรงสูง เช่น อิสราเอล มีแรงงานเข้าไปทำงานมากกว่า 25,000 คน ไต้หวัน มีแรงงานเข้าไปทำงานไม่ต่ำกว่า 50,000 คน มีความเสี่ยงจะเกิดสงครามเช่นเดียวกัน

ซึ่งการเป็นแรงงานภาคเกษตรกรรมในไทยหรือแรงงานรับจ้างทั่วไป ก่อสร้างทั่วไปได้ค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 328-354 บาท หรือมีค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 9,840 – 10,620 บาทต่อเดือน สำหรับแรงงานรายวันแล้วจะได้ค่าจ้างเต็มเดือน คือ ต้องมาทำงานทุกวัน หากวันไหนไม่มาทำงานก็จะไม่ได้ค่าจ้าง นอกจากนี้ แรงงานรายวันที่ถูกจ้างผ่านบริษัทเหมาช่วง จะอยู่ในสภาพเป็น “แรงงานเหมาช่วง” ไม่มีสวัสดิการวันลาวันหยุดเช่นเดียวกับพนักงานทั่วไปของบริษัท เงินเดือนระดับ 10,620 บาทต่อเดือน

ทั้งนี้เมื่อนำมาเทียบกับค่าแรงหรือเงินเดือนขั้นต่ำของแรงงานในอิสราเอลในลักษณะงานเหมือนกันนั้น ค่าจ้างต่างกันประมาณ 5-10 เท่า อิสราเอลได้เงินเดือนขั้นต่ำ 50,000-100,000 บาทต่อเดือน หรือหากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆที่ แรงงานไทยนิยมไปทำงาน เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ย่านตะวันออกลาง ก็จะมีค่าจ้างสูงกว่าในตลาดแรงงานไทยประมาณ 3 -10 เท่าเช่นเดียวกัน ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำในสหรัฐอเมริกาแล้วยิ่งต่างกันมาก ค่าแรงขั้นต่ำในสหรัฐอเมริกาจ่ายเป็นรายชั่วโมง ชั่วโมงละ 15 ดอลลาร์ ทำงาน 8 ชั่วโมง ได้ค่าจ้างวันละ 120 ดอลลาร์ ตกเดือนละ 3,600 ดอลลาร์หรือ 133,200 บาทต่อเดือน (คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยน 37 บาทต่อดอลลาร์) สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำในไทยประมาณ 13.53 เท่า

แนวโน้มแรงงานไทยอพยพต่อเนื่อง

เมื่อมองไปถึงแนวโน้มในอนาคตแล้ว นักเศรษฐศาสตร์มองว่าแนวโน้มแรงงานไทยยังคงอพยพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปต่างแดนจำนวนมากยอมก่อหนี้กู้ยืมเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการเพื่อเดินทางไปทำงานในต่างแดนเพื่อแสวงหาโอกาสในชีวิตที่ดีกว่า จากข้อมูลของทางการพบว่า แรงงานไทยเคลื่อนย้ายไปทำงานมากกว่า 26 ประเทศทั่วโลกในฐานะแรงงานระดับล่างทักษะต่ำจนถึงปานกลาง การเคลื่อนย้ายไปทำงานในระดับบริหาร ระดับผู้เชี่ยวชาญระดับสูงยังอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำ

ซึ่งแรงงานส่วนใหญ่ต้องกู้ยืมเงินก้อนใหญ่เพื่อใช้เป็นค่าดำเนินการในการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ เมื่อไม่สามารถทำงานให้มีรายได้ตามสัญญาจ้างย่อมทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้และไม่สามารถทำให้คุณภาพชีวิตของตัวเองและครอบครัวดีขึ้นกว่าเดิมได้ แรงงานจำนวนหนึ่งจึงไม่ยอมย้ายกลับแม้ต้องเสี่ยงภัยต่อชีวิตจากภัยสงครามในอิสราเอล

โดยให้การแนะนำว่า รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานต้องพิจารณาดูว่าจะช่วยเหลือทางการเงินหรือช่วยเหลือในหางานทำได้อย่างไร หลังกลับมายังภูมิลำเนานอกจากควรพิจารณาว่าควรจะมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบหรือมีมาตรการช่วยเหลืออย่างไรเพื่อให้ค่าดำเนินการในการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศถูกลง ในเบื้องต้นต้องเปิดให้มีการแข่งขันเพิ่มขึ้นในบริษัทจัดหางานในต่างประเทศ ลดการผูกขาด ลดการทุจริตคอร์รัปชันในกระบวนการขออนุญาตทำงาน

ซึ่งจริงๆ แล้ว การทยอยปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจากวันละ 328-354 บาท เป็น 600 บาทต่อวันในอีกสี่ปีข้างหน้า ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทางการไหลออกของแรงงานไทยแต่อย่างใด เพราะมีระดับรายได้ที่ต่างกันอย่างชัดเจนและแรงงานก็ดิ้นรนเพื่อต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ประเทศไทยจะสามารถจ่ายค่าจ้างในระดับเดียวกับประเทศไต้หวัน ประเทศอิสราเอลได้ต้องทำให้เศรษฐกิจไทยมีอัตราการขยายตัวอย่างต่ำปีละ 5-6% และก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูงหรือประเทศพัฒนาแล้วในอีก 15 ปีข้างหน้า (หากประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศโดยไม่สะดุดลงระหว่างทาง ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 15 ปี) การปรับค่าจ้างต้องให้เพียงพอต่อการดำรงชีพและสามารถบรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ และภาระหนี้สินของผู้ใช้แรงงานและครอบครัวได้

ดังนั้นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพื่อคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจนั้นต้องมากเพียงพอและอย่างน้อยต้องสูงกว่าอัตราเงินเฟ้ออย่างน้อย 10%

สำหรับการแก้ปัญหานั้น นักเศรษฐศาสตร์มีข้อเสนอกับรัฐบาลไทยดังนี้

1. ขอให้รัฐบาลไทยทำการปฏิรูปกฎหมายแรงงานและปรับปรุงสวัสดิการแรงงานพื้นฐานให้เป็นไปตามมาตรฐานของอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และควรให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO 102 เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบประกันสังคม เพื่อรับประกันความครอบคลุมทั่วถึงของระบบประกันสังคม เสริมสร้างโครงสร้างทางกฎหมายและการสนับสนุนทางการเมือง อันเป็นบ่อเกิดของระบบประกันสังคมที่ประสิทธิภาพ ยั่งยืนและตอบสนองต่อพลวัตทางเศรษฐกิจและสังคม

2. รัฐบาลควรรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง อนุสัญญาสองฉบับนี้จะทำให้คุณภาพชีวิตและสวัสดิภาพของแรงงานดีขึ้นโดยรัฐบาลไม่ต้องใช้งบประมาณมาดูแล จะเกิดกลไกและกระบวนการในการแบ่งปันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรมมากขึ้นในระดับสถานประกอบการแต่ละแห่ง แต่ต้องทำให้เกิดระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ดีในภาคการผลิตภาคบริการต่างๆ ด้วย ขบวนการแรงงานและนักวิชาการแรงงานได้เคลื่อนไหวเรียกร้องต่อเนื่องมามากกว่า 20 ปีแล้ว

รัฐไทยควรยอมรับอนุสัญญา ILO 87/98 สิทธิในการรวมตัวและสิทธิในการเจรจาต่อรองของผู้ใช้แรงงาน การให้แรงงานข้ามชาติสามารถจัดตั้งสหภาพแรงงานได้ ซึ่งหากมีองค์กรของแรงงานข้ามชาติหรือสหภาพแรงงานจะทำให้ปัญหาการค้าแรงงานทาสและค้ามนุษย์ (ส่วนใหญ่เป็นแรงงานข้ามชาติ) ในไทยดีขึ้นด้วย หรือ เปิดโอกาสให้แรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติสามารถตั้งสหภาพแรงงานร่วมกันได้ หรือสมัครเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเดียวกันได้ (อาศัยหลักสามัคคีทุกเชื้อชาติและแรงงานเป็นพี่น้องกันทั่วโลกตามหลักภราดรภาพนิยมและนำมาสู่สันติสุขและความเป็นธรรมในสถานประกอบการ) หรือ เปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งสหภาพฯแบบทั่วไปที่สมาชิกไม่สังกัดบริษัท อาชีพ อุตสาหกรรม หากไทยสามารถยกระดับมาตรฐานแรงงานดังกล่าวได้ ย่อมมีโอกาสที่ไทยขึ้นมาอยู่ Tier 1 เกิดผลดีการค้าการลงทุนระยะยาว สร้างระบบเศรษฐกิจและสังคมที่แบ่งปันกันมากขึ้นหากรัฐบาลชุดนี้รับรองอนุสัญญาจะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง

3. ทบทวนและยกเลิกนโยบาย 3 ขอ ที่ริเริ่มโดยรัฐบาลชุดที่แล้ว เพราะเป็นการทำลายหลักการของระบบประกันสังคมและจะทำให้เกิดปัญหาความยั่งยืนทางการเงินของระบบประกันสังคมอย่างแน่นอนโดยเฉพาะกองทุนชราภาพ

4. ขอให้รัฐบาลแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ให้รัฐบาลดำเนินการหามาตรการให้สถานประกอบกิจการ ที่มีลูกจ้างรับเหมาค่าแรง ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 11/1 (เกี่ยวกับการจ้างงานแบบเหมาช่วงหรือซับคอนแทรค) อย่างเคร่งครัดเพื่อให้ลูกจ้างซับคอนแทรคได้รับความเป็นธรรมทางด้านสวัสดิการและการจ้างงาน

5. ขอให้รัฐบาลประกาศยกเลิกกฎกระทรวงฉบับที่ 7 เฉพาะส่วนที่ตัดสิทธิลูกจ้างรายเดือนที่ทำงานล่วงเวลาไม่ให้ได้รับค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาเช่นเดียวกับลูกจ้างรายวัน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ หมวด 3 มาตรา 27 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย

6. ขอให้รัฐบาลแก้ไขกฎหมายให้หนี้ที่เกิดจากเงินที่นายจ้างต้องจ่ายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 อยู่ในบุริมสิทธิลำดับที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

7. ขอให้รัฐบาลเร่งรัดออกกฎหมายคุ้มครอง ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพแรงงานนอกระบบ และมีสิทธิจัดตั้งองค์กรได้ และ

8. ขอเสนอให้สร้างโอกาสให้หญิงและชาย รวมทั้งแรงงานต่างด้าวมีงานที่มีคุณค่าและก่อให้เกิดความสำเร็จโดยจะต้องมีเสรีภาพ เสมอภาค ความมั่นคงและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

9. รัฐบาลควรส่งเสริมให้ แรงงานไทยในต่างประเทศได้รวมตัวกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ใช้แรงงานในรูปแบบต่างๆรวมทั้งการจัดตั้งสหภาพแรงงาน และเสนอให้ แรงงานข้ามชาติในไทย สามารถเป็น สมาชิกสหภาพแรงงานในประเทศไทยได้ หรือสามารถจัดตั้งสหภาพแรงงานร่วมกับแรงงานไทยได้

10. การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยภาพรวมนั้นต้องอาศัยทั้งการยกระดับผลิตภาพของแรงงาน ผลิตภาพของทุน ผลิตภาพจากการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งผลิตภาพของระบบราชการและระบบการเมืองไปพร้อมกัน จะอาศัยแต่ผลิตภาพของแรงงานในระบบการผลิตย่อมไม่เพียงพอ

11. ยืดการเกษียณของคนทำงานในทุกระบบของไทย อายุเฉลี่ยของประชากรไทยปัจจุบันอยู่ที่ 78 ปี อายุเกษียณของแรงงานในระบบธุรกิจอุตสาหกรรมและภาคเอกชนไทยอยู่ที่ 55 ปี และ อายุเกษียณของข้าราชการอยู่ที่ 60 ปี ระบบบำนาญต้องจ่ายประมาณ 18-23 ปีซึ่งระบบบำนาญจะประสบปัญหาความยั่งยืนทางการเงินในอนาคตอย่างแน่นอน หากไม่ยืดเวลาการเกษียณอายุออกไป นอกจากนี้ยังจะประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานในหลายสาขา

เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์

ที่มา : worldpopulationreview ,IQ

ติดตาม Business+ ได้ที่ :https://www.thebusinessplus.com/

Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

#Businessplus #นิตยสารBusinessplus #สงครามอิสราเอล #ปาเลสไตน์ #อิสราเอล #สงครามอิสราเอลปาเลสไตน์