Transform to Be a Game Changer พลิกเกมธุรกิจสู่การเป็นผู้นำตลาด

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา โลกธุรกิจถูกท้าทายด้วยวิกฤตมากมาย หลายองค์กรธุรกิจทั้งเล็กและใหญ่ ต้องปิดตัวลง ราวกับเป็นบททดสอบสุดหินที่น้อยคนจะผ่านไปได้ 

ซึ่งสร้างรากฐานระบบภูมิคุ้มกันขององค์กร ถือเป็นจุดสำคัญของการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อจะรับมือกับยุคดิจิทัล ไม่ใช่เพียงแค่การนำเทคโนโลยีมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการปรับความเชื่อ ชุดทักษะ และวิธีการทำงานของคนในองค์กร

โดยจากการได้ศึกษาค้นคว้าและให้คำปรึกษาผู้นำองค์กร ทำให้เกิดแนวคิด และกลยุทธ์การเอาตัวรอดจากองค์กรใหญ่ สรุปได้เป็นเคล็ดลับพัฒนาองค์กร แบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลักดังนี้ 

3 แนวคิดพลิกเกมธุรกิจ เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส,  3 วัคซีนกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของคนในองค์กร และ 5 เทคนิคสำคัญขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงองค์กร

 

3 แนวคิดพลิกเกมธุรกิจ เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส

  1. ธุรกิจต้อง ‘ปรับตัว’ เพื่อตามให้ทัน ‘การเปลี่ยนแปลง’ 

แน่นอนว่า ธุรกิจที่จะอยู่รอดท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงได้ คือธุรกิจที่รู้ว่าลูกค้า ‘ต้องการอะไร’ และวิเคราะห์ได้ว่าความต้องการใหม่นี้ต่างจากความต้องการเดิมอย่างไร และมีปัจจัยใดเป็นตัวแปรสำคัญ 

ซึ่งเมื่อเราตามทันความต้องการของลูกค้า เราก็จะมองเห็นได้อย่างแม่นยำว่าอะไรคือจุดขายของสินค้าเรา หลังจากนั้นจึงปรับกลยุทธ์ตาม การเตรียมความพร้อมให้กับคนในองค์กรที่จะปรับตัวของธุรกิจ คือ กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

 

ลองคิดดูว่า ถ้าในองค์กรมีทีมงานที่เอื่อยเฉื่อย ไม่กล้าทำสิ่งใหม่ จมอยู่แต่กับความล้มเหลว นอกจากประสิทธิภาพในการทำงานจะลดลงเรื่อย ๆ แล้ว องค์กรและทีมงานเองก็จะไม่ได้ก้าวไปไหน และอาจก้าวไม่ทัน โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง

 

  1. เป้าหมายต้อง ‘ชัดเจน’ แต่ ‘ยืดหยุ่น’ ที่กระบวนการ 

ดังนั้นการจะพาธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ สิ่งสำคัญ คือ ‘การตั้งเป้าหมาย’ ที่ชัดเจน เพื่อให้ทีมมีเป้าหมายการทำงานร่วมกัน และช่วยกันหาหนทางที่จะพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จได้ แม้ว่าเราจะต้องชัดเจนและเข้มงวดในเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่กระบวนการทำงานไม่ควรเข้มงวดตามไปด้วย 

 

การกำหนดวิธีการทำงานแบบตายตัวจะกลายเป็นจุดอ่อนทำให้ธุรกิจไม่สามารถก้าวผ่านวิกฤตไปได้ ‘ความยืดหยุ่น’ จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ทีมไปถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

 

  1. รวมทักษะหลากหลาย สร้างทีมให้แข็งแกร่ง 

การทำงานในยุคจากนี้ คือ การร่วมมือกันของทีมงานที่มีทักษะที่แตกต่างกัน หรือมีทักษะการทำงานรอบด้าน รวมถึงการสร้างระบบการทำงานแบบตัวต่อตัว ที่สำคัญควรเลือกหัวหน้าทีมที่มี Open Mind ไม่หยุดตั้งคำถามและไม่หยุดที่จะพัฒนาการทำงานด้วยข้อมูลทั้งหมดที่มี

 

และเมื่อได้ปรับแนวคิดกันไปแล้ว ในขั้นต่อไปเราจะขอพามารับวัคซีนให้ครบ 3 เข็มกันต่อกับ 3 วัคซีนกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของคนในองค์กร

เข็มที่ 1 Mindset  สร้างภูมิด้วยแนวคิด 

การพัฒนาวิธีคิดของคนในองค์กร จะช่วยยกระดับบรรยากาศให้เกิดความร่วมมือ ผ่านการปรับเลนส์มุมมอง ให้ความสำคัญกับเป้าหมายความสำเร็จร่วมกัน ไม่ได้ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง โดยจะสร้างผลลัพธ์ให้องค์กรมากกว่าการเปลี่ยนแปลงที่พฤติกรรม ถึง 4 เท่า โดยที่ต้องเริ่มต้นเข้าใจ 4 Mindset สำคัญของการทำงานในโลกยุคใหม่ ประกอบด้วย

 

  1. Growth Mindset คือ วิธีคิดที่ใช้จัดการกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เข้ามา โดยไม่กลัวความล้มเหลว หากเรามีกระบวนคิดแบบ Growth Mindset เราจะเรียนรู้วิธีการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะเปลี่ยนจากกรอบความคิดแบบตายตัว (Fixed Mindset) สู่กรอบความคิดแบบเติบโต ซึ่งการมี Growth Mindset จะทำให้เรามีพลังในการทำงาน มีความคิดริเริ่มทำสิ่งใหม่ และพยายามที่จะหาวิธีบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จ การคิดด้วยวิธีคิดเช่นนี้จึงทำให้ก้าวหน้า และมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า

 

  1. Outward Mindset กระบวนคิดที่มองออกไปจากกล่องที่ครอบตัวเราเองอยู่ หรือพูดง่าย ๆ คือ การมองออกไปให้มากกว่าในกรอบคิดของตัวเอง นอกจากรู้เป้าหมายและความต้องการของตัวเราเองแล้ว กระบวนคิดแบบนี้ยังเป็นการมองออกไป เพื่อเข้าใจเป้าหมายและความต้องการของผู้อื่นด้วย ซึ่งกระบวนคิดแบบ Outward Mindset จะทำให้การทำงานร่วมกันเป็นเรื่องง่ายขึ้น เพราะไม่ได้มองแค่เป้าหมายส่วนตัว แต่สามารถสนับสนุนทีมงาน องค์กรได้เป็นอย่างดี

 

  1. Agile Mindset อธิบายง่าย ๆ คือ แนวคิดและวิธีปฏิบัติที่จะทำให้การทำงานเกิดความคล่องแคล่ว รวดเร็ว ลดความซับซ้อนลงได้ อีกทั้ง Agile เป็นวิธีที่จะช่วยให้เจอความผิดพลาดได้ไว แก้ไขได้ทัน และผลลัพธ์หรือนวัตกรรม กลายเป็นรูปเป็นร่างได้ไวขึ้น

 

  1. Learning Mindset คือ แนวคิดของคนที่ไม่ยึดติดกับวิธีเรียนรู้เดิม ๆ และกระหายความรู้ใหม่ ๆ ตลอดเวลา ซึ่งหากเรามี Learning Mindset ตัวเราและองค์กรก็จะมีโอกาสในการก้าวไปข้างหน้าได้เร็วกว่าคนอื่น หากเราและทีมงานทุกคน เป็นคนที่มีความมุ่งมั่น รักการเติบโต สามารถเข้าอกเข้าใจปัญหาของทุกฝ่าย สามารถลงมือทำ เพื่อให้ล้มแล้วลุกได้อย่างรวดเร็ว และมีความคิดที่ว่าทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา คือ การเรียนรู้ นั่นเอง

 

เข็มที่ 2 Skillset ทักษะและกระบวนการจัดการ ได้แก่ การยอมรับ เปิดอกพูดคุย แลกเปลี่ยนมุมมองซึ่งกันและกัน หาทางออกที่หลากหลายพร้อมตกลงร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติและติดตามผลว่าส่งผลอย่างไรต่อทุกฝ่าย

 

เข็มที่ 3 Toolset สื่อสารแบบมีกลยุทธ์เพื่อได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

ใช้เครื่องมือที่ผสมผสานอย่างลงตัวทั้ง ข้อเท็จจริง ตรรกะ ความรู้สึก เพื่อนำไปสู่การสื่อสาร ที่สามารถให้ผู้อื่นปฏิบัติตามได้อย่างชัดเจนเพื่อบรรลุเป้าหมาย

 

ต้องบอกว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย องค์กรต้องใช้ทั้งกำลังคน ทรัพยากร และเวลาในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้จริง ซึ่งหลังจากรับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันจนเต็มแขนแล้ว ขอปิดท้ายด้วย 5 เทคนิคสำคัญขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงองค์กร ที่จะมาพลิกโฉมองค์กรให้เท่าทันโลกดิจิทัล

 

 

  1. Right story ทำให้ทุกคนเข้าใจถึงทิศทาง และเห็นถึงเป้าประสงค์เดียวกัน ว่าเราต้องการเปลี่ยนแปลงองค์กรเพื่ออะไร 

 

  1. Strategy and Roles to Play กลยุทธ์ในการพาพนักงานไปยังจุดไหน ใครต้องเล่นบทบาทอะไร รวมทั้งการสร้างความคาดหวังว่าอะไรคือสิ่งที่ “ใช่” และ “ไม่ใช่” ของรูปแบบการทำงานในอนาคต

 

  1. Knowledge and Tools ต้องเพิ่มองค์ความรู้ให้คนในองค์กรทั้งในส่วนของ Hard skill และ Soft skill

 

  1. Right Advocates สร้างตัวแทนหรือกระบอกเสียงระหว่างพนักงานและผู้บริหาร เพื่อกระตุ้นการสื่อสารแบบสองทางและ ช่วยปรับมุมมอง สร้างความเข้าใจระหว่างกัน 

 

  1. Keep Momentum สร้างความต่อเนื่องของการสื่อสาร และการทำให้คนในองค์กรเห็นถึงความคืบหน้าหรือ Progress เล็ก ๆ แต่ต่อเนื่องในทุกขั้นตอนในการทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ยุคดิจิทัล

 

ถือว่าเป็นความท้าทายขององค์กรเป็นอย่างมากสำหรับการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ต้องอาศัยการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของแนวคิด และแนวปฎิบัติ อย่างไรก็ตามก็ถือเป็นผลดีที่ยั่งยืน ที่ทำให้องค์กรสามารถอยู่รอด และพร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ได้ตลอดเวลา 

 

 

ที่มา : SEAC