เปิดมุมมองสองผู้เชี่ยวชาญกับมิติใหม่ SDG บนเวที SX2023

ในขณะที่วาระขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals 2030 (SDGs) เดินมาถึงครึ่งทาง แต่กลับมีความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายได้เพียงร้อยละ 15 อีกทั้งภาวะวิกฤตโลกร้อนที่เลวร้ายมากขึ้นถึงขั้นเรียกว่า โลกเดือด (Global Boiling) มาฟังฟแนวคิดจาก ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ และ ผศ.ชล บุนนาค ว่าจะขับเคลื่อน SDGs อย่างไรให้ประสบความสำเร็จได้

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ ผศ.ชล บุนนาค ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้อำนวยการ SDG Move ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยด้านเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ภายใต้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มาร่วมแชร์มุมมองและข้อเสนอแนะในหัวข้อ “The New Chapter of SDGs” ภายในงานมหกรรมด้านความยั่งยืน หรือ Sustainability Expo 2023 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความท้าทาย และปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาโลกอย่างยั่งยืนในอนาคต

ดร.สุวิทย์ กล่าวว่า ในการผลักดัน SDG ของโลก มีโจทย์ใหญ่อยู่ 4 ข้อ คือ ทุกประเทศจะทำให้เกิดการลงมือทำอย่างจริงจังได้อย่างไร (Strong Execution) ข้อสอง แม้มีการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน (Common Goal) แล้ว หากยังขาดความเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่าย (Common Ground) เพราะแต่ละประเทศมีความเหลื่อมล้ำแตกต่างกัน แม้จะมีเจตจำนงร่วมกันแต่โอกาสจะให้เกิดแนวร่วมปฏิบัติ (Collective Action) มีน้อยมาก โจทย์ข้อที่สาม หมายถึงวิกฤตอยู่ในตัวของทุกคน เพราะความเห็นแก่ตัวของคนยังมีอยู่เยอะ ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม จะมองเป็น Short-Termism หมด ฉะนั้น จึงเกิดเป็น Tragedy of the Commons ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระดับบุคคล แต่ถ้ามองในระดับประเทศ ยังมีความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคม (Socioeconomic Disparity) สุดท้ายเป็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ โอกาสเกิดความร่วมมือก็จะน้อย ซึ่งทั้ง 4 ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดต้องมาพิจารณาทบทวน

นอกจากนี้ ดร.สุวิทย์ ยังได้เสนอแนะให้มองเป้าหมายด้านความยั่งยืนทั้ง 17 ข้อเป็นแบบองค์รวม โดยจัดเป้าหมายออกเป็น 5 คลัสเตอร์ ซึ่งกลุ่มแรกจะเป็น Environmental Common ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Climate Action, Life Below Water, Life on Land ซึ่งถือเป็นปัญหาระดับโลกที่ไม่สามารถแก้ได้ด้วยตัวเอง จะต้องใช้ Strong Execution อย่างรุนแรงและเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด

กลุ่มที่สองจะเป็นปัจจัยที่จะทำให้ทุกอย่างคืบหน้าไปได้ ถ้าสังคมโลก สังคมแต่ละประเทศมีการลดความเหลื่อมล้ำ มีสันติภาพ ยุติธรรม และองค์กรต่างๆ มีความเข้มแข็ง กลุ่มที่สาม เป็นเรื่องน้ำ และอาหาร กลุ่มที่สี่ เป็นเรื่องของอุตสาหกรรม นวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน การผลิตและการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบ สมาร์ทซิตี้ ตลอดจนระบบสื่อสารที่ยั่งยืน กลุ่มสุดท้าย คือพื้นฐานที่ทำให้คนไม่อดอยาก สุขภาพดี ไม่มีความยากจน การศึกษามีคุณภาพ และมีความเท่าเทียมทางเพศ “สำหรับประเทศไทยสามารถสร้างโมเดลการเติบโตอย่างสมดุลได้บนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยจะต้องมีเป้าหมายร่วมกัน คือ SDG และมีความเห็นพ้องกันคือ โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งผมมองว่า การพัฒนาความยั่งยืนจะกลายเป็น Soft Power ได้ในอนาคต” ดร.สุวิทย์ กล่าว

ส่วน ผศ.ชล เสนอแนะว่า ถ้าจะขับเคลื่อน SDG ให้เกิดผลสำเร็จต้องติดกระดุมให้ถูก ซึ่งถ้าเป็นบุคคลธรรมดา กระดุมเม็ดแรกคือ Act to Reduce Harm แต่ละคนต้องตรวจสอบว่า สิ่งที่ตนเองทำไปนั้นได้สร้างผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม หรือไม่อย่างไร ข้อนี้ทุกคนทำได้ และองค์กรควรจะทำมากให้ที่สุด ถ้าเห็นองค์กรไหนไม่พูดเรื่องนี้เลยว่าจะทำและลดผลกระทบอย่างไร ก็สันนิษฐานได้เลยว่าเป็นการฟอกเขียว (Greenwashing) เม็ดที่สองคือ Benefit Stakeholders ทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อคนทำงาน ชุมชน คนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเกี่ยวโยงกับซีเอสอาร์ เม็ดที่สาม คือ Contribute to Solutions โดยบริษัทต่างๆ ต้องตั้งเป้าหมายสูงว่าจะมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน SDGs ได้อย่างไร เช่น การลดก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น

สำหรับรัฐบาล ผศ.ชล คิดว่า มี 2 ประเด็นสำคัญๆ ที่จะขับเคลื่อน SDGs ได้มากขึ้น ประการแรก รัฐบาลต้องทำในรูปแบบ Whole Government Approach ถ้าเป็น Whole Society Approach ได้ก็จะยิ่งดี โดยรัฐบาลต้องทำเรื่องหลักการของความยั่งยืนในทุกนโยบาย ตั้งแต่เรื่องความมั่นคง มาจนถึงนโยบายเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญที่สุดคือ อยู่บนหลักการของสิทธิมนุษยชน อีกประเด็นคือ รัฐบาลต้องปรับเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้กำกับนโยบายไปเป็นผู้อำนวยความสะดวก โดยทำให้ทุกพลังในสังคมมาทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืน เพราะที่ผ่านมา ส่วนใหญ่รัฐบาลจะทำหน้าที่เป็นพระเอก ดังนั้น  ภาครัฐควรสร้างแพลตฟอร์มที่จะให้ทุกภาคส่วนมาทำงานร่วมกันได้ และมาเสริมซึ่งกันและกันในการพัฒนาความยั่งยืนให้เกิดผลสัมฤทธิ์มากขึ้น ปัจจุบันแม้ว่าไทยจะทำเรื่อง SDG อยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้นำ SDG มาเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ในการผลักดันวาระที่ยั่งยืนขององค์กร และของชุมชนได้ เพราะ SDG เป็น Global Norms ซึ่งเป็นพลังแฝง โดยประเทศไทยสามารถเป็นตัวอย่างของโลกผ่านการเล่าเรื่องในภาษา SDG และไปสร้างความร่วมมือใหม่ๆ กับคนที่ทำ SDG ได้

“ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม อีกทั้งมีสิ่งที่เป็นแก่นแท้ (Essence) และกรอบความคิด (Mindset) ที่จะขับเคลื่อน SDG ไปได้ นั่นก็คือคือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่เราตีโจทย์กันไม่ออกว่า จริงๆ คือความสมดุล ความพอดี คือความลงตัว เมื่อไม่พอก็รู้จักเติม เมื่อเกินก็ต้องรู้จักปัน ประเทศไทยจะเดินหน้าเพื่อถักทอให้เรื่อง BCG, SDG and SEP (Sufficiency Economy Philosophy) ไปด้วยกันได้อย่างไร สิ่งที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกทำกันอยู่ในขณะนี้ยังเป็นเพียงแค่การ Transition แต่สุดท้าย จะต้องทำเป็น Systematic Transformation ด้วยการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโลก จึงจะบรรลุเป้าหมายเพื่อสร้างสมดุลให้โลกอนาคตได้” ดร. ชล กล่าว