ทุกวันนี้ Sustainable Development หรือการพัฒนายั่งยืน นั่นหมายถึงสามารถสนองความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่กระทบต่อขีดความสามารถในการสนองความต้องการที่จำเป็นของคนรุ่นใหม่
คำกล่าวของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในงานมอบรางวัล Thailand Top Company Awards 2016 ที่กล่าวเริ่มต้นจากการทำลายธรรมชาติโดยมนุษย์ ทำให้สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ภาวะ Climate Change ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ จนผู้คนทั่วโลกตื่นตัวหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม และรณรงค์ให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
เพื่อส่งต่อโลกที่ดีให้กับคนรุ่นหลังได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สหประชาชาติ (UN) ออกโรงปกป้องสิ่งแวดล้อม จุดประกายความคิดในงานประชุม Earth Summit ณ กรุงริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล

เริ่มต้นระดมความคิดจากนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ สื่อมวลชน และประชาชนทั่วโลก เพื่อเฟ้นหาคำตอบของคำถามที่ว่า “โลกของเราจะ Sustainable ได้อย่างไรบ้าง ? ”
กระทั่งเกิดต้นกำเนิดของคำว่า Sustainable Development ในรายงาน Brundland Report เสนอต่อที่ประชุมสหประชาชาติในปี 1987 ด้วยคำนิยามสั้น ๆ ไว้ว่า Our Future หรือหมายถึง “อนาคตของโลกใบนี้”

Sustainable Development คือ ?
ในเวลาต่อมา ค.ศ. 2000 ทางสหประชาชาติก็ยังคงเดินหน้าหาทางออกอย่างต่อเนื่อง โดยระดมไอเดียจากนักคิดชั้นนำ กับโจทย์ที่ว่า “เราจะร่วมกันกำหนดแนวทางพัฒนาโลกใบนี้อย่างไร”
พร้อมกับร่างแผนพัฒนา New Millionaires Development Gold (MDG 8) ระหว่างค.ศ. 2000-2015 กำหนดทิศทางการพัฒนาหลากหลายด้าน แต่ปรากฏว่านี่ก็ยังไม่ตอบโจทย์ เพราะแผนพัฒนา MDG 8 ยังสอบตกหลายข้อ !
ยกตัวอย่าง ‘เรื่องสันติภาพ’ พบว่าระหว่าง 2-3 ปีที่ผ่านมา ภัยก่อการร้ายร้อนระอุไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ย่านราชประสงค์ในเมืองไทย ที่ต้องพบกับเรื่องราวที่ไม่คาดฝันไปด้วย ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก
ในอดีต สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ทุกฝ่ายรบกันด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ มีการประกาศอย่างชัดเจนว่ามีพื้นที่ War Zone ตรงไหน เมื่อไหร่ แต่ทุกวันนี้การก่อการร้ายในโลกไม่มีกติกา ซึ่งจะเกิดที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ เมืองไหนก็ได้ ประเทศไหนก็ได้ นี่คือความแตกต่างที่เห็นได้ชัด !
ประเด็นที่น่ากังวล คือ แม้กระทั่งเลขาธิการสหประชาชาติอย่าง บันคีมุนยังไม่สามารถห้ามได้ แล้วใคร ? ที่จะสามารถหยุดยั้งเหตุร้ายนี้ได้ เพราะหากเราไม่สามารถปรองดองกันได้ ก็ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ว่า “เรื่องนี้จะจบลงเมื่อไหร่? ”
ขณะเดียวกัน ฝั่งทรัพยากรธรรมชาติก็ร่อยหรอเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับภูมิอากาศที่ถูกบิดเบือน เนื่องจากฝีมือของมนุษย์ กว่า 99% ! แสดงให้เห็นว่าแผนพัฒนาชุด New Millionaires Development Gold ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
เมื่อพบว่าแผนพัฒนาชุดเก่าไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป เพื่อกอบกู้โลกใบนี้อีกครั้ง เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา (2015) สหประชาชาติจัดประชุม General Assembly ณ กรุงนิวยอร์ค นำแนวคิดเก่ามาปัดฝุ่น ภายใต้ชื่อใหม่ว่า Sustainable Development Goals (SDG)
โดยร่างกติกาขึ้นมาใหม่ วาง ‘17 เป้าหมายหลักแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน’ โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นคนเป็นหลัก กระจายความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียม รวมทั้งแก้ปัญหาเรื้อรังอื่น ๆ ซึ่งแผนนี้จะถูกนำมาใช้ในระหว่างปี 2016-2030
17 เป้าหมายหลัก : วาระการพัฒนาที่ยั่งยืนแบบ Sustainable Development
- ความยากจน
- ความหิวโหย
- สุขภาวะ
- การศึกษา
- ความเท่าเทียมทางเพศ
- น้ำ และการสุขาภิบาล
- พลังงาน
- เศรษฐกิจและการจ้างงาน
- โครงสร้างพื้นฐานและการปรับให้เป็นอุตสาหกรรม
- ความเหลื่อมล้ำ
- เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์
- แบบแผนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
- การเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ และผลกระทบ
- ทรัพยากรทางทะเล
- ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ
- สังคมและความยุติธรรม
- หุ้นส่วนความร่วมมือและการปฏิบัติที่ได้ผล
แหล่งที่มา : หนังสือ Thailand’s SUSTANINABLE DEVELOPMENT Source, edm, 2015
และสำหรับทางออกของปัญหาที่นำพาความยั่งยืนมาสู่สังคมโลก นักธุรกิจชั้นนำสามารถหยิบยกเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาทำกิจกรรม CSR ช่วยเหลือโลกของเราให้น่าอยู่ โดยสามารถลงมือผลักดันโครงการได้ทันทีแบบไม่ต้องรอ
‘เศรษฐกิจพอเพียง’ ฮีโร่ตัวจริง
ขณะที่ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำแล้ง น้ำท่วม รวมถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นทั่วโลก คำถามคือ “ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ บริษัทของเราจะยั่งยืนได้แค่ไหน ? ”
และถ้าต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตอีกครั้ง เราจะทำอย่างไรให้บริษัทมีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง พร้อมเผชิญหน้ากับปัญหา นี่เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดี
อีกหนึ่งซูเปอร์ฮีโร่ที่ช่วยกอบกู้โลกอย่าง ‘ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง’ หรือ Sufficiency Economy Philosophy ปรัชญาในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งพระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทย เมื่อปี 2540 เพื่อเป็นแนวทางดำรงชีวิตในยุคเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง
หากย้อนไปเมื่อปี 2540 รัฐบาลไทยปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว ทำให้ค่าเงิน 1 ดอลลาร์พุ่งพรวด จาก 25 บาทไปเป็น 50 บาท ทำให้ผู้ประกอบการเป็นหนี้ทีเดียวเกือบเท่าตัว หลาย ๆ คนได้ตัดสินใจจบชีวิต เนื่องจากโรงงานปิด ไม่มีที่ไป
ดังนั้น ปรัชญาของในหลวงเมืองไทย จึงเป็นอีกกลยุทธ์และทางออกที่ทำให้คนไทยสามารถรับมือกับวิกฤตได้ อีกทั้ง สามารถปรับใช้ได้ทั้งในครอบครัว ชุมชน องค์กรบริษัท รวมถึงประเทศได้เป็นอย่างดี
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ในนิตยสาร Business+ ฉบับเดือนมีนาคม 2559 หรือคลิกที่นี่