SUCCESSMORE กับความท้าทายครั้งใหม่ ขอไกลในอาเซียน

SUCCESSMORE เป็นแบรนด์ขายตรงสัญชาติไทยที่เข้ามาทำตลาดได้เพียง 5 ปี เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายเดิมที่อยู่ในตลาดมายาวนานไม่ต่ำกว่า 10 ปี แต่แบรนด์ ๆ นี้ กลับสามารถเฉิดฉายในสนามธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะผลประกอบการตลอด 5 ปีที่ผ่านมา

แต่จากผลพวงของกระแสดิจิทัล บวกกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อาจส่งผลให้ถนนสายนี้ไม่เหมือนเดิม และ นพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด ก็ยอมรับตรง ๆ ว่า จากนี้ธุรกิจท้าทายมากกว่าเดิมมาก

อย่างไรก็ตาม SUCCESSMORE ได้เตรียมแผนธุรกิจใหม่ ทั้งในแง่การเพิ่มนวัตกรรมลงในสินค้าและเจาะช่องทางการขายให้มากขึ้น เพื่อขอบรรลุเป้าหมายเติบโตสวนตลาด

แบรนด์น้องใหม่แจ้งเกิดด้วย “คุณภาพ”

ตลาดขายตรงไทยจัดได้ว่าเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มาก จากข้อมูลสมาคมการขายตรงไทย ระบุว่า ในปี 2560 มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 71,000 ล้านบาท และมีการเติบโตประมาณ 5% ต่อปี แต่ขณะเดียวกันก็เป็นตลาดที่มีความท้าทายเช่นกัน

เพราะต้องเผชิญกับคู่แข่งในตลาดจำนวนมาก ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และรายเล็ก อีกทั้งรายใหญ่ยังมีความแข็งแกร่งอย่างมากทั้งในด้านแบรนด์และเงินทุน เมื่อบวกกับภาพจำของธุรกิจขายตรงที่ยังฝังอยู่ในใจผู้บริโภคหลายคนว่าเป็นธุรกิจเครือข่าย แม้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การรับรู้และยอมรับของผู้บริโภคจะดีขึ้นมาก

นั่นจึงเป็นปราการสำหรับแบรนด์ใหม่ที่จะเข้ามาปักหมุดบนถนนสายนี้ เพราะหากไม่ Strong และมี จุดขาย ที่แตกต่างจากคู่แข่งรายใหญ่ในตลาดจริง ก็ยากจะปักธงและอยู่รอดในตลาดนี้ได้ง่าย ๆ

แต่แบรนด์น้องใหม่อย่าง SUCCESSMORE ซึ่งมีอายุเพียง 5 ปี กลับหาญกล้าและสามารถปักหมุดในตลาดนี้ได้สำเร็จ และหากดูผลประกอบการที่ผ่านมาก็สามารถสร้างยอดขายเติบโตมาอย่างต่อเนื่องจากในปีแรกที่มียอดจำหน่ายในหลักร้อยล้านบาท ก้าวกระโดดมาเป็นระดับพันล้านบาท ก็ถือว่ามีความเก๋าไม่น้อย

สำหรับเส้นทางเดินของ SUCCESSMORE นพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด เล่าย้อนความให้ฟังว่า เกิดขึ้นมาจากแรงบันดาลใจที่ต้องการสร้างโอกาสทางธุรกิจ เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนให้มีความมั่งคั่งในระยะยาว จึงร่วมกับเพื่อนซึ่งเป็นคุณหมอ คิดค้นและเสาะหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมานำเสนอ จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวแรกออกสู่ตลาด

ในจุดแรกของการเริ่มธุรกิจ เขาเริ่มต้นบุกเบิกงานขายด้วยตนเอง โดยมุ่งสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างสู่กลุ่มเป้าหมาย โดยใช้วัตถุดิบคุณภาพจากทั่วโลกผสานนวัตกรรมทันสมัยเป็นตัวสื่อสาร เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้และเกิดการทดลองใช้สินค้า จนคุ้นเคย มั่นใจในผลิตภัณฑ์

จากนั้นในปีที่ 2 และ 3 จึงเดินหน้าสร้างแบรนด์และขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสร้างทีมเข้ามาดูแล กระทั่งธุรกิจมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นเป็นลำดับ ในปีที่ 4 และ 5 จึงสร้างระบบการพัฒนาบุคลากรที่ได้มาตรฐานระดับ World Class เพื่อจะกระจายอำนาจและทำให้ผลิตภัณฑ์ออกไปสู่วงกว้างมากขึ้น

“ปีนี้เป็นปีที่เราเดินทางมาถึงจุดที่ต้องทำอะไรใหม่เพิ่มเติม ด้วยการทรานส์ฟอร์มหลายอย่าง เพื่อต่อยอดองค์กรให้แข็งแกร่งต่อไป วันนี้เราต้องสร้างคนมาดูแลส่วนต่าง ๆ จากที่เคยลงมือทำเองทุกอย่าง เพื่อจะมอนิเตอร์สถานการณ์ทั้งในระดับโลก อุตสาหกรรม และคู่แข่งว่าเป็นอย่างไร พร้อมกลับมาวิเคราะห์จุดแข็งตัวเอง และส่วนไหนต้องปรับปรุง”

นพกฤษฏิ์ บอกถึงบทบาทที่เปลี่ยนแปลงในวันนี้ และวิเคราะห์ให้ฟังว่า จุดแข็งของบริษัทฯ ที่ทำได้ดีในสายตาผู้บริโภค เป็นเรื่องการพัฒนาสินค้าที่ทันสมัยออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาบุคลากรระดับ World Class ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ แต่จุดที่ยังต้องพัฒนาต่อคือ การดูแลบุคลากรในธุรกิจ

ดังนั้น กุญแจที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จให้แบรนด์ SUCCESSMORE เป็นที่ยอมรับและเติบโตอย่างก้าวกระโดดท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง สิ่งแรกจึงมาจากการพัฒนา “คุณภาพ” สินค้าอย่างไม่หยุดนิ่ง และทำให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีสินค้ารวมทั้งหมด 66 SKU จากวันแรกที่มีสินค้าในตลาดเพียงไม่กี่ประเภท นอกจากคุณภาพผลิตภัณฑ์แล้ว ยังมาจาก “วัฒนธรรมองค์กร” และระบบการพัฒนา “บุคลากร” ที่มีความแตกต่างด้วย

หลักบริหาร ‘คน’ ในแบบ SUCCESSMORE

เพราะขายตรงเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคน ดังนั้น การเติบโตของธุรกิจนี้ส่วนหนึ่งจึงมาจาก “นักธุรกิจขายตรง” เนื่องจากเป็นผู้ที่นำผลิตภัณฑ์ส่งต่อถึงมือผู้บริโภค ยิ่งมีผู้ประกอบการเข้ามาในธุรกิจมาก ความสำเร็จก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ ที่ผ่านมาภาพของธุรกิจขายตรงส่วนใหญ่จะมุ่งขยายคนให้เข้ามาในธุรกิจมากกว่าการรักษาคนให้อยู่ในธุรกิจ

ทว่า นพกฤษฏิ์ กลับมองแนวคิดการบริหารคนแบบนี้ อาจไม่ได้ผลกับธุรกิจขายตรงยุคปัจจุบัน ยุคที่พฤติกรรมคนแตกต่างจากยุคก่อนสิ้นเชิง

เขาจึงริเริ่มนำแนวทางการสร้าง “Mindset” เข้ามาใช้ในองค์กร โดยนำหลักการ Coaching ผ่านหลักสูตรการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้คนเข้าใจว่าความสำเร็จสามารถสร้างขึ้นได้จริง และเห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ กระทั่งเกิดความตระหนักและยอมรับ หากไม่ปรับเปลี่ยนตัวเอง ก็อาจจะถูกพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงกลืนหายได้

เมื่อคนในองค์กรเปิดใจยอมรับในการเปลี่ยนแปลงแล้ว นพกฤษฏิ์ บอกว่า ภาพการขับเคลื่อนองค์กรต่อไปก็ต้องชัด รวมถึงวัฒนธรรมองค์กรต้องมีความแข็งแกร่งด้วย เพราะการมีวัฒนธรรมองค์กรที่ดี จะช่วยหล่อหลอมคนในองค์กรให้ก้าวไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งวัฒนธรรมองค์กรที่ SUCESSMORE สร้างขึ้นเพื่อให้คนในองค์กรยึดเป็นหลักในการทำงานนับตั้งแต่เริ่มธุรกิจนั้นมีอยู่ 5 ข้อ ได้แก่ ความมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ รักการเรียนรู้ ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ ทำงานเป็นทีม และมีหัวใจแบ่งปัน

“การบริหารคนเป็นงานยาก เราจะไม่ใช้สไตล์ผู้จัดการหรือความเป็นผู้นำสั่งการ แต่ใช้ความเป็น Coach เพราะวิธีการนี้สามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ธุรกิจจากนี้ไป เป็นวิธีที่ทำให้คนเปิดใจยอมรับ และหากสามารถเข้าไปนั่งในใจได้ เขาจะทำตาม”

นพกฤษฏิ์ ย้ำถึงความยากของธุรกิจ และได้ยกตัวอย่างการสร้าง Mindset ของทีมกำแพงเพชรจนประสบความสำเร็จให้ฟัง โดยทีมประสบปัญหาจากการส่งต่อความสำเร็จไปยังคนรุ่น 2 ซึ่งพบว่าเกิดจากการส่งต่อข้อมูลไม่ครบถ้วนและไม่ตระหนักในการเปลี่ยนแปลง จึงได้นำทีมมาเปิด Mindset จนเปิดใจรับฟัง ทำตาม และสามารถสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้น

ไม่เพียงแค่นั้น เพราะระบบการพัฒนาบุคลากรดังกล่าว ยังช่วยขยายฐานผู้ประกอบการใหม่ให้เข้ามาเป็นนักธุรกิจขายตรงเพิ่มขึ้นด้วย จากในปี 2557 มีจำนวนสมาชิกเพียง 80,682 คน กลายเป็น 979,658 คน ในปี 2561 โดยทิศทางในปีนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าสร้าง Mindset อย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนไป คือ การพัฒนาบุคลากรให้ก้าวทันโลกในยุคดิจิทัลมากขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะรักษาคนให้อยู่ในธุรกิจยาวนานยิ่งขึ้น

ความท้าทายครั้งใหม่ สู่ก้าวที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

ถึงวันนี้ชื่อ SUCCESSMORE จะกลายเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว แต่ นพกฤษฏิ์ ยอมรับว่า ธุรกิจขายตรงวันนี้ “ท้าทาย” กว่าปีที่ผ่านมามาก เนื่องจากภาพรวมตลาดไม่ได้เติบโตสูงเหมือนหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังทรงตัว และทางเลือกในการสร้างรายได้หรือเป็นเจ้าของกิจการ ทำได้หลากหลายขึ้น โดยสามารถใช้ออนไลน์เป็นเครื่องมือทำตลาดและช่องทางขาย รวมถึงหากนานวันคนที่มาอยู่ในธุรกิจด้วยความหวังที่จะสร้างรายได้ ยังทำไม่สำเร็จ ย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่น

“ความเสี่ยงเหล่านี้เป็นปัจจัยภายนอกเราไม่สามารถควบคุมได้ เราจึงเลือกคุมจากปัจจัยภายในองค์กรให้ดี เพราะหากภายในเราแข็งแกร่ง ย่อมสู้กับแรงเหวี่ยงจากภายนอกได้”

นพกฤษฏิ์ ย้ำอย่างมั่นใจ และเป็นเหตุผลให้ SUCCESSMORE ต้องกลับมาปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยนอกจากการพัฒนาคนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว ยังหันมาโฟกัสผลิตภัณฑ์ให้โดนใจผู้บริโภค และทำให้เกิดวัฒนธรรมการพูดคุยเรื่องสินค้าในกลุ่มมากขึ้น เพื่อให้สินค้าเป็นตัวดูแลและดึงดูดคน

สำหรับสินค้าที่จะใช้เป็นหัวหอกในปีนี้คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม พร้อมกับเติมสินค้าเดิมให้ครบไลน์การดูแลผลลัพธ์มากขึ้น รวมถึงการเปิดตัวสินค้าความงามและเครื่องสำอางสู่ตลาดเพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากการปรับตัวตลาดในประเทศด้วยการหันมาโฟกัสสินค้าสู่ตลาดมากขึ้นแล้ว SUCCESSMORE ยังวางแผนสยายปีกออกสู่ต่างประเทศมากขึ้นด้วย โดยปีนี้เลือกปักหมุดในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย ผ่านการแต่งตั้งดีลเลอร์ในประเทศนั้น ๆ ทำตลาด

สำหรับสาเหตุที่เลือกสิงคโปร์นั้น เขาให้เหตุผลว่า แม้จำนวนประชากรจะน้อยแต่เม็ดเงินการจับจ่ายต่อประชากรสูง และพร้อมซื้อทันที หากชอบ ขณะที่มาเลเซียเป็นประเทศที่มีความเป็นชาตินิยมสูง แต่เป็นตลาดท้าทายโดยอัพมาตรฐานสินค้าสู้ เพราะหากทำได้ ตลาดอื่นก็ไม่ยากเช่นกัน

แม้จะเป็นปีที่ท้าทาย แต่เขามั่นใจในกลยุทธ์และการพัฒนาคนที่เดินมาจะสามารถสร้างการเติบโตให้ SUCCESSMORE ได้ต่อเนื่องแน่นอน โดยตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้ไว้ที่ 1,600 ล้านบาท ส่วนสมาชิกนักธุรกิจขายตรง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ยอดแอ็กทีฟเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปีที่ผ่านมามียอดแอ็กทีฟ 20% และ Quality of Life เพิ่มอีก 30%

จึงนับเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ขายตรงน้องใหม่สายพันธุ์ไทยที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ! ถึงวันนี้ยอดขายและส่วนแบ่งตลาดจะยังห่างไกลผู้นำตลาดอยู่มาก แต่โลกของการทำธุรกิจในยุคนี้ ประมาทไม่ได้ และในหลายธุรกิจก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเป็น “ยักษ์เล็ก” ก็สามารถต่อกรและก้าวขึ้นมาเป็น “ยักษ์ใหญ่“ ได้เช่นกัน