ปตท. ผู้นำอุตสาหกรรมพลังงาน : Thailand Top Company Awards 2020 : รางวัลอุตสาหกรรมพลังงาน

5 ปีจากนี้ ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายของอุตสาหกรรมพลังงานเป็นอย่างมาก สืบเนื่องจากปัจจัยในระดับโลกซึ่งเกินกว่าที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งจะควบคุมได้ ทำให้ ปตท. และบริษัทในกลุ่มได้เริ่มมองหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อท้าทายและสร้างความมั่นคงทางพลังงานในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ของโลก”


ผู้นำด้านอุตสาหกรรมพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในไทยอย่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ของการเปลี่ยนผ่านตัวเองเข้าสู่โลกของอุตสาหกรรม 4.0 วันนี้ท่ามกลางความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกและภายใน ทำให้กลุ่ม ปตท. ภายใต้การนำของ ชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. จำเป็นต้องแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อรองรับการเติบโตของการผลิตไฟฟ้า โดยการขยายธุรกิจนั้นจะทำทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านการร่วมลงทุนหรือการซื้อกิจการ อาทิ การเข้าซื้อบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) รวมถึงธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ที่ได้เข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนเพิ่มในโครงการบงกช และการเข้าซื้อกิจการของบริษัท Murphy Oil Corporation และบริษัท Partex Holding B.V. ของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) รวมถึงการปรับพอร์ตการลงทุนผ่านการขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทุกห่วงโซ่ตามทิศทางกลยุทธ์การลงทุนซึ่งจะนำไปสู่พลังงานสะอาดและผลิตภัณฑ์เคมีมูลค่าสูงต่อไป

“ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายมาก เพราะมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ Brexit สงครามการค้า เศรษฐกิจโลกชะลอตัว วิกฤตสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของเราทั้งสิ้น จึงทำให้ต้องปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่น้ำมันสะอาดมากขึ้น อย่างน้ำมันเครื่องบิน เป็นต้น รวมถึงการเพิ่มมูลค่าใน Shell oil และ Shell gas ขณะเดียวกันก็เข้าลงทุนในธุรกิจพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ผ่านการควบรวมกิจการ ตัวอย่างเช่น บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) ซึ่งช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานขององค์กรได้เป็นอย่างดี

โดยในปี 2562 ปตท. ดำเนินธุรกิจผ่านทิศทางกลยุทธ์การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลักการ 3P – People Planet Prosperity อาทิ ในด้าน People ได้มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในอนาคต ผ่านการสร้าง ‘สังคมอุดมศึกษา’ ด้วยการสนับสนุนสถาบันวิทยสิริเมธี ในระดับบัณฑิตศึกษา และโรงเรียนกำเนิดวิทย์ ในระดับมัธยมศึกษา รวมไปถึงการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ชุมชน ให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ผ่าน โครงการ Café Amazon for Chance ที่เปิดโอกาสให้ผู้บกพร่องทางการได้ยินและกลุ่มผู้ด้อยโอกาสได้พัฒนาความสามารถและทักษะด้านการทำงาน รวมทั้งเสริมสร้างรายได้ให้สามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน

ด้าน Planet ยังมุ่งมั่นดูแลและเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยเริ่มจาก โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ 1 ล้านไร่ ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่ดำเนินการมากว่า 25 ปี เพื่อรักษาผืนป่าในภูมิภาคต่าง ๆ ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยให้แก่สัตว์ป่านานาชนิด และบรรเทาวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่ปฏิบัติการของ ปตท. ทั่วประเทศ พร้อมทั้งสร้างพลังความร่วมมือผ่านหน่วยงานและเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ เพื่อนำป่ามาสู่เมือง สร้างพื้นที่สีเขียวให้แก่คนกรุงเทพฯ ผ่านการสร้าง Green Mindset ในโครงการ Green Bangkok 2030

ส่วนด้าน Prosperity ได้ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด โดยขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติและ LNG ในโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่นอกแนวท่อส่งก๊าซฯ พร้อมทั้งเร่งพัฒนาน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันให้สามารถจัดจำหน่ายน้ำมันพีทีที อัลตราฟอร์ซ ดีเซล บี 10 และ บี 20 ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยลดมลภาวะ PM2.5 อีกทั้งยังช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศ เนื่องจากภาวะปาล์มน้ำมันล้นตลาดด้วย

ชาญศิลป์ ปิดท้ายถึงทิศทางปี 2563 ของ ปตท. ว่า “องค์กรได้เตรียมแผนการลงทุนในปี 2563 – 2567 บนวงเงินรวม 180,814 ล้านบาท และจัดเตรียมงบลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) ในระยะ 5 ปีข้างหน้า จำนวน 203,583 ล้านบาท โดยธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น มีแผนขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานและมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจ LNG ขณะที่ธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย จะผลักดันกระบวนการผลิตด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามแนวทาง Circular Economy พร้อมทั้งขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีความชำนาญ นำไปสู่การลงทุนในผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่มีมูลค่าสูง เพื่อเพิ่มมูลค่าทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ละทิ้งในเจตนารมณ์ที่จะดูแลสังคม ชุมชน ให้เติบโตเคียงคู่กันไปอย่างยั่งยืนในทุกมิติ”