3 กลยุทธ์สำคัญฉบับ ‘เมืองไทยประกันชีวิต’

กลยุทธ์สู่ความสำเร็จขององค์กร คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ซึ่งการพัฒนา หรือสร้างสิ่งใหม่ ในแบบฉบับของ ‘เมืองไทยประกันชีวิต’ ต้องประกอบด้วย 3 ส่วนที่สำคัญ คือ ต้องคำนึงถึง Core Business ของตัวเอง โดยไม่ทำสิ่งที่เกินตัว ขณะที่ต้องออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด นอกจากนี้ยังต้องมีการพัฒนาบริการ หรือแพลตฟอร์มใหม่ ๆ  ที่ครอบคลุมการบริการอย่างครบวงจร เมื่อรวม 3 ส่วนนี้เข้าด้วยกันจะนำองค์กรไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน และทำให้ชื่อของ ‘เมืองไทยประกันชีวิต’ เป็นหนึ่งบริษัทประกันชีวิตที่อยู่ในใจคนไทย

คุณสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตมีทิศทางการเติบโตที่ดีสอดคล้องกับ Mega Trend เพราะมีฐานลูกค้าที่ถือกรมธรรม์แบบประกันสุขภาพจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม การเติบโตในมุมมองของเมืองไทยประกันชีวิต จะไม่สามารถมองได้แค่มิติของตัวเลขทางการเงิน แต่ต้องมองไปถึงความพึงพอใจและความผูกพันของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ ซึ่ง Net Promoter Score (NPS) ของเมืองไทยประกันชีวิตค่อนข้างสูงกว่ามาตรฐาน ถึงแม้ว่าคนจะไม่ได้มองบริษัทประกันชีวิตเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรก ๆ แต่บริษัทฯ ได้ให้สิ่งที่ลูกค้าต้องการมากที่สุดจากบริษัทประกันชีวิตคือความเชื่อถือได้ ดังนั้นเมืองไทยประกันชีวิตจึงให้ความสำคัญกับความมั่นคงแข็งแกร่งด้านการเงินมาอันดับหนึ่ง

โดยอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR Ratio) ของเมืองไทยประกันชีวิตนั้นสูงกว่า 300% ซึ่งมากกว่านโยบายที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดเอาไว้ที่ 140% โดยคุณสาระกล่าวว่า สิ่งที่ลูกค้าต้องการจากบริษัทประกันภัยคือเรื่องความคุ้มครองจากเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ และแบบประกันเป็นเรื่องระยะยาว ดังนั้นบริษัทประกันชีวิตจึงต้องมีความยั่งยืน

นอกจากนี้ เมืองไทยประกันชีวิตยังเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับเรื่องดิจิทัลเป็นอย่างมาก เพราะปัจจุบัน ไปจนถึงอนาคต ดิจิทัลจะเข้ามาอยู่ในชีวิตการทำงานของทุกคนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเมืองไทยประกันชีวิตจึงต้องมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยหลักการสำหรับการออกแบบแพลตฟอร์มต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ โดยในปัจจุบันลูกค้าจะมีความเชี่ยวชาญในการหาข้อมูลมากขึ้น ดังนั้นจึงเกิดการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันภัยในหลายแง่มุม เพื่อหาสิ่งที่ครอบคลุม และตรงกับที่ต้องการมากที่สุด ทางเมืองไทยประกันชีวิตจึงออกแบบแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่ใช้เพื่อบริการลูกค้าด้วยการมองจากความต้องการของคนภายนอกองค์กร และนำมาพัฒนาข้างในองค์กร

โดยองค์ประกอบที่สำคัญของการออกแบบและพัฒนา คือ การสำรวจ และทำวิจัยหลายอย่างว่าตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการหรือไม่ หรือการออกแบบมาแล้วใช้งานได้จริง และใช้งานได้ง่ายหรือไม่

 

 “ดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และต้องนำเข้ามาฝังอยู่ในชีวิตของการทำงาน และชีวิตของคนทุกกลุ่มอายุ ดังนั้นเรื่องของดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญ แต่อย่าลืมว่าสุดท้ายจริง ๆ กลับมาที่ธุรกิจหลักของประกัน คือ ความเชื่อใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องควบคู่กันไป โดยเฉพาะโลกที่วันนี้มีเรื่องของ Cyber Attack มากขึ้น เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องดูทุก ๆ อย่างไปพร้อมกัน คุณสาระ กล่าว

 

คุณสาระกล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากแพลตฟอร์มดิจิทัลจะเข้ามาช่วยให้บริการเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย และครบวงจรมากขึ้นแล้ว บริษัทประกันชีวิตยังต้องปรับตัว และวางแผนการดำเนินธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งต้องประกอบไปด้วยการให้ความสำคัญกับ สังคม สิ่งแวดล้อม และหลักธรรมาภิบาล แต่การพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ จะต้องคำนึงถึงความต้องการของลูกค้า รวมไปถึงคำนึงถึงธุรกิจหลักของบริษัทฯ เป็นหลัก เพื่อที่จะขับเคลื่อนให้องค์กรเติบโตได้อย่างยั่งยืน

 

จะเห็นได้ว่าแนวทางการบริหารองค์กรฉบับ เมืองไทยประกันชีวิต นอกจากจะทำให้แบรนด์แข็งแกร่งทั้งมุมมองของผู้บริโภค และภายในองค์กรแล้ว  ยังเป็นแบรนด์ประกันชีวิตที่จะมีการเติบโตได้อย่างยั่งยืนอยู่เสมอ ถึงแม้ว่า   เทรนด์ต่าง ๆ บนโลกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนก็ตาม นี่คือเหตุผลที่นำ เมืองไทยประกันชีวิตมาสู่รางวัล Thailand Top Company Awards 2023 อุตสาหกรรมประกันชีวิต

เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS