ตลาดหุ้นไทยดราม่าหุ้น MORE เปิดมูลค่าที่แท้จริงของ ‘มอร์ รีเทิร์น’ ควรอยู่ตรงไหน?

ตอนนี้ในแวดวงตลาดหุ้นไทยกำลังร้อนระอุ หลังจากวันพฤหัสบดี และวันศุกร์ที่ผ่านมา (10-11 พ.ย.65) หุ้นของบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ได้ถูกทุบกลางวันแสก ๆ ทำเอาราคาหุ้นรูดติดพื้น (Floor) ซึ่งเป็นราคาต่ำที่สุดของวันที่หุ้นตัวหนึ่งจะสามารถลงไปได้ (ปกติแล้วตลาดหลักทรัพย์ฯ ของไทยได้กำหนดลิมิตเอาไว้ที่ 30% จากราคาปิดวันก่อนหน้า หากราคาต่ำกว่า 30% นั้นจะไม่สามารถถูกเสนอขายได้แล้ว และต้องรอให้มีออเดอร์ซื้อเข้ามาก่อน)

ซึ่งประเด็นนี้เกิดเป็นคำถามคาใจหลาย ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ถึงธุรกรรมที่ผิดปกติจากออเดอร์ขายที่เข้ามาอย่างน่าตกใจ แบบที่ยังไม่เคยมีหุ้นตัวไหนเคยเป็นมาก่อน และจนมาถึงวันนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุของการที่หุ้นถูกทุบลงมาได้แบบชัดเจน

และจนถึงตอนนี้ยังมีหลายประเด็นที่ยังคาใจนักลงทุน ทั้งกระแสที่เล่ากันว่า คีย์ออเดอร์ผิด (กดคำสั่งซื้อผิด) หรือ แม้แต่กรณีที่การปล่อยมาร์จิ้นจำนวนมากแบบผิดปกติ (โดยที่มาร์จิ้นคือ บัญชีการเทรดหุ้นที่ลูกค้าสามารถขอเงินกู้เพื่อเพิ่มอำนาจซื้อหุ้นได้ โดยที่บัญชีประเภทนี้ต้องมีการวางเงินเอาไว้ส่วนหนึ่ง เรียกว่าเงินประกัน หรือ Margin เพื่อเป็นการรองรับความเสียหายจากการซื้อและขาย) ซึ่งการปล่อยมาร์จิ้นที่มากเกินไป หรือการคียร์ออเดอร์ผิด ล้วนแต่มีผลที่ทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงมาได้ทั้งนั้น

ซึ่งในส่วนของประเด็นดราม่า เราคงต้องตามเรื่องกันต่อไป และปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ดูแลกฏ ทั้ง ก.ล.ต. และตลท. ที่จะต้องสืบเรื่องราว เพื่อไขข้อสงสัย รวมถึงต้องให้บทเรียนแก่ผู้กระทำผิด แต่หากเรามองเพียงแต่มูลค่าของหุ้น MORE ล่ะ? จริง ๆ แล้ว หุ้นตัวนี้พื้นฐานธุรกิจยังดีอยู่ไหมหากตัดเรื่องของการเทขายของผู้ถือหุ้นใหญ่ออกไป?

วันนี้ทาง ‘Business+’ จึงจะมาวิเคราะห์พื้นฐานหุ้น และมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นตัวนี้ควรอยู่ที่ตรงไหน? ซึ่งก่อนจะไปวิเคราะห์ในส่วนของมูลค่าที่แท้จริงนั้น เราต้องรู้ข้อมูลของบริษัทก่อน

โดย MORE ทำธุรกิจอยู่ 3 กลุ่มหลัก ๆ ธุรกิจแรกคือ ขายอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน (Energy Saving) และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทน ธุรกิจที่ 2 คือ การวางระบบน้ำประปา ซึ่งตอนนี้ได้รับสัญญาบนเกาะเสม็ด และธุรกิจที่ 3 คือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง MORE มีกลุ่มลูกค้าและพันธมิตรที่สำคัญ อย่างเช่น สมาคมการแพทย์ผสมผสานไทย การประปาส่วนภูมิภาค กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และยังมีหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ อีก ซึ่ง MORE ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ตั้งแต่ 21 ธ.ค. 2555 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 343.84 ล้านบาท

และมีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
1. นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ถือหุ้น 23.69% (ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่รายนี้ได้ออกมาให้ข่าวเที่ยงวันนี้ว่ายังถือหุ้นครบ 23.69%)
2. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (NVDR) ถือหุ้น 13.57% (NVDR เป็นตราสารที่ออกโดย ตลท.เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนต่างชาติ)
3. นายศิริศักดิ์ ปิยทัสสีกุล ถือหุ้น 11.37%
4. นายอภิมุข บำรุงวงศ์ ถือหุ้น 8.98%
5. นายวสันต์ จาวลา ถือหุ้น 6.61%

ทีนี้เพื่อตอบว่ามูลค่าที่แท้จริงของ MORE ควรอยู่ที่เท่าไหร่? เราต้องมาดูรายได้และกำไรสุทธิ ซึ่งรายได้รวมปี 2564 อยู่ที่ 143.73 ล้านบาท และงวด 9 เดือนของปี 2565 อยู่ที่ 120.79 ล้านบาท

ส่วนกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 1,158.67 ล้านบาท และกำไรสุทธิงวด 9 เดือนอยู่ที่ 22.16 ล้านบาท ส่วนปี 2562 ขาดทุนสุทธิ 15.77 ล้านบาท และปี 2563 อยู่ที่ 47.22 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นล่าสุดอยู่ที่ 0.18 บาท

โดยที่หากวิเคราะห์ราคาหุ้นในปัจจุบันจากในแง่ของ P/BV ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 6.25 เท่า ถือว่าค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับ P/BV ตลาด mai อยู่ที่ 3.22 เท่า (สูงกว่าเกือบเท่าตัว) ซึ่งอัตราส่วนตัวนี้ทำให้เห็นว่าหุ้น MORE ตอนนี้วิ่งเกินมูลค่าบัญชีมาแล้วถึง 6 เท่า แสดงว่าราคาหุ้นตอนนี้ (ก่อนถูกทุบ) แพงเกินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท

และเมื่อมาดูในอัตราส่วนความสามารถของการทำกำไรเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ และส่วนของผู้ถือหุ้น จะเห็นว่า MORE มีอัตราส่วนตรงนี้สูงอย่างผิดปกติ (แต่อาจไม่ได้สะท้อนว่าอัตราส่วนทางการเงินแข็งแกร่ง)

เพราะ MORE นั้นมี ROA อยู่ที่ 94.86% และ ROE อยู่ที่ 121.93% ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ ROA ในช่วงปี 2564 สูงมากนั่นเป็นเพราะสินทรัพย์ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ โดยมีกำไรสุทธิ 1,158.67 ล้านบาท และมีสินทรัพย์รวม 1,628.12 ล้านบาท

นอกจากนี้เมื่อดูในมุมของ ROE ที่ได้ค่าออกมาสูงมากนั้น เพราะว่าส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1,438.83 ล้านบาท ต่ำมากเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ

อีกปัจจัยที่สนับสนุนว่าราคาหุ้น MORE ตอนนี้ยังสูงเกินตัว คือ ธรรมชาติของการเคลื่อนไหวราคาหุ้น ซึ่งเมื่อมองย้อนสถิติกลับไปจะเห็นว่า โดยปกติแล้วราคา MORE จะย่ำอยู่แถว ๆ ราคาบาทกว่า ๆ เท่านั้นเอง และราคาเพิ่งปรับขึ้นมาเกินระดับ 2 บาท เมื่อกลางเดือนมิ.ย.2565 และบวกมาอย่างต่อเนื่องจนเคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดเกือบๆ 3 บาท

สาเหตุหนึ่งที่ราคาพุ่งขึ้นมาเป็นเพราะผลการดำเนินงานปี 2564 และช่วงครึ่งปีแรกของ MORE ค่อนข้างดี แต่อีกหนึ่งสาเหตุที่เราอาจยังหาข้อสรุปไม่ได้คือการลากหุ้นขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง และธุรกรรมนี้ได้ทำให้เกิดผลเสียต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่น ๆ อีกมากมาย (ราคาหุ้น MORE ก่อนถูกทุบอยู่ที่ 2.78 บาท จนล่าสุดก่อนพักการซื้อขายอยู่ที่
1.37 บาท)

บทสรุปส่งท้ายนี้ เราจะเห็นได้ว่านอกจากราคาหุ้น MORE จะปรับตัวลงนอกจากจะเกิดกลโกงทางการเงินที่ผิดปกติแล้วนั้น ยังมีเรื่องของพื้นฐานหุ้นเข้ามาเกี่ยว เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาหุ้นวิ่งเกินพื้นฐานไปไกลจะทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ และเกิดการ Panic Sell ออกมาซ้ำเติม แต่ถ้าหากเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี และราคายังไม่ Over Value ก็อาจไม่เกิดความกังวลมากเท่าครั้งนี้

ที่มา : SET

เรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #SET #MORE #หุ้น #เทรดหุ้น