“ไทยออยล์” เติบโตยั่งยืนด้วย “นวัตกรรม” ที่เหนือคู่แข่ง

นอกจากจะเป็นผู้ประกอบธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายน้ำมันปิโตรเลียมที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยแล้ว บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ยังเป็นบริษัทฯ ที่มีผลประกอบการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างโดดเด่นเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทีเดียว ทั้งยังมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่งเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจต่อไป

 

ในรอบปีที่ผ่านมา แม้สถานการณ์น้ำมันของประเทศไทยจะผันผวนไม่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจพลังงานเมื่อเทียบกับในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทโรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ของไทยอย่าง “ไทยออยล์” กลับมีผลประกอบการเติบโตโดดเด่น จนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานอย่างสง่างาม

ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นวันนี้ ต้องบอกว่าไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่ อธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า ทั้งหมดเกิดจากยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจที่แม่นยำนับตั้งแต่วันแรกเมื่อ 57 ปีที่แล้ว

“เพราะขอบเขตธุรกิจของไทยออยล์ค่อนข้างหลากหลาย โดยมีธุรกิจหลักคือ การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม โรงไฟฟ้า รวมถึงปิโตรเคมีและธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน ยุทธศาสตร์จึงสำคัญ เพราะหากไม่มียุทธศาสตร์ชัดเจน ก็เปรียบเหมือนเราเดินเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วไม่มีรายการของที่ต้องซื้อ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้มาอาจจะใช้ไม่ได้เลย”

อธิคม ยังบอกด้วยว่า นอกจากยุทธศาสตร์ที่แม่นยำแล้ว การขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตท่ามกลางความท้าทายรอบด้านได้นั้น จำเป็นต้องมี “วิสัยทัศน์” ที่ชัดเจนด้วย เพราะวิสัยทัศน์จะเป็นเสมือนกรอบให้ทุกคนในองค์กรก้าวเดินไปสู่เป้าหมายเดียวกัน โดยในปีที่ผ่านมา ไทยออยล์ ได้ประกาศวิชั่นชัดเจนที่จะนำพาองค์กรก้าวสู่การเป็น M Power Human Life to Sustainable and Chemical หรือการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน

“การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ต้องมองถึงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้มีส่วนได้เสียมากกว่าการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้นเพราะสิ่งนี้จะผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนแท้จริง”
สำหรับวิธีการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตให้กับผู้มีส่วนได้เสียในแบบไทยออยล์ จนสร้างผลประกอบการเติบโตในปีที่ผ่านมา อธิคม บอกว่า มาจาก 5 ปัจจัย ดังนี้ 1. เทคโนโลยีที่ดีในการดำเนินธุรกิจ เพื่อช่วยให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2. นวัตกรรมที่เหนือคู่แข่ง 3. โครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง ด้วยการพัฒนาโครงสร้างธุรกิจที่สามารถกระจายความเสี่ยงจากรายได้หลายทางอย่างเหมาะสม 4. การบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ทั้งด้านการผลิตและการบริหารจัดการธุรกิจมายาวนานกว่า 5 ทศวรรษ และมีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาถึงปัจจุบัน และ 5. ความรับผิดชอบด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี

เมื่อพูดถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน หลายคนอาจคิดว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่ อธิคม เชื่อว่า นวัตกรรมเป็นหัวใจสำคัญที่จะสร้างความต่างและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่เหนือคู่แข่ง เพราะบางทีเทคโนโลยีการกลั่นก็ไม่ได้ต่างกัน

โดยไทยออยล์จะมุ่งพัฒนานวัตกรรมในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี สารละลาย และการเดินเรือ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ในห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงเข้าไปลงทุนใน Capital Venture ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ใน 3 พื้นที่หลัก คือ Manufacturing Technology เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต เช่น หุ่นยนต์, Green & Human Technology เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคของมนุษย์ และ Disruptive Technology เพื่อรองรับกับเทคโนโลยีที่จะเข้ามา Disrupt ธุรกิจในอนาคต

“ไทยออยล์เหมือนเรือใหญ่ เวลาออกทะเลอาจมีเมฆหมอก การนำเรือเล็กออกไปสำรวจทะเลจึงง่ายกว่า และหากเจอเกาะดี ๆ สามารถกลับมาบอกได้เร็ว และเราก็สามารถจะนำเรือใหญ่ตามไปสำรวจได้ต่อ แต่ถ้าไม่ดี เราก็ไม่ต้องนำเรือใหญ่ออกไปให้เสียงบประมาณและเวลา ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ง่าย ๆ แต่สิ่งสำคัญต้องระบุพื้นที่สำรวจให้ชัด ไม่เช่นนั้นทีมงานที่ไปจะไม่รู้เป้าหมาย”

ปัจจุบันไทยออยล์เริ่มเข้าไปลงทุนใน Corporate Venture Capital แล้วในประเทศยุโรปและอเมริกา ขณะที่หลายเทคโนโลยีอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา ซึ่งอนาคตคงจะได้เห็นหลาย ๆ นวัตกรรมออกมาสร้างความแตกต่าง และสร้างรายได้ให้ไทยออยล์เพิ่มขึ้น โดย อธิคม ตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 ต้องการจะเห็นสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอื่นที่ไม่ได้มาจากน้ำมัน (นอนออยล์) เพิ่มขึ้นเป็น 50% จากอดีตที่มีสัดส่วนเพียง 20% ซึ่งจะช่วยให้ไทยออยล์ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน และส่งผลให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว