หลังจากมีข่าวลือออกมาตั้งแต่ช่วงท้ายปี 2565 ถึงการถอนทุนของ ‘JD Central’ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เกิดจากร่วมมือกันทางธุรกิจระหว่างกลุ่มเซ็นทรัล และ JD.com จากประเทศจีน ที่เปิดตัวในไทยตั้งแต่ปี 2017 ในวันนี้ (30 มกราคา 2566) ก็ได้มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการโดยเว็บไซต์ของ https://www.jd.co.th/

ว่าแพลตฟอร์มของ ‘JD Central’ จะปิดตัวในวันที่ 3 มีนาคม 2566 โดยที่บริษัทฯ ชี้แจงว่า การปิดกิจการนี้เป็นไปตามนโยบายของ JD.com ซึ่งร้านค้าอย่างเป็นทางการ ของ JD CENTRAL (JD CENTRAL Official Store) จะปิดการสั่งซื้อสินค้าเวลา 23.59 น. วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ส่วนแพลตฟอร์ม JD CENTRAL (ร้านค้าอื่น ๆ) จะปิดการสั่งซื้อสินค้าเวลา 23.59 น. วันที่ 3 มีนาคม 2566

ทั้งนี้เมื่อเรามาย้อนดูข้อมูลผลประกอบการนับตั้งแต่เปิดตัวในประเทศไทยมา เราจะเห็นได้ว่า ‘JD Central’ หรือ บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด ไม่เคยมีผลกำไรเลยนับตั้งแต่เปิดกิจการในไทย ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นเหมือนกับคู่แข่งในตลาดอีคอมเมิร์ซ ที่ประสบปัญหาขาดทุนจากการแข่งขันที่รุนแรงเช่นเดียวกัน

แต่กรณีของ ‘JD Central’ อาจจะเจ็บหนักกว่าผู้เล่นอื่นๆ เพราะเข้ามาสู่ตลาดนี้ช้ากว่าคู่แข่ง โดยในปี 2564 คู่แข่งเจ้าหลักอย่าง Lazada พลิกกลับมาทำกำไร 227 ล้านบาท และจำนวนผู้ที่เข้ามาใช้บริการ E-Commerce รายใหม่ๆ เริ่มอิ่มตัว นั่นจึงทำให้ ‘JD Central’ เริ่มเจอกับความกดดันเป็นอย่างมาก

โดย ‘Business+’ ได้รวบรวมผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี มีดังนี้

• ปี 2017 รายได้ 522 ล้านบาท ขาดทุน 3 ล้านบาท
• ปี 2018 รายได้ 458 ล้านบาท ขาดทุน 944 ล้านบาท
• ปี 2019 รายได้ 1,284 ล้านบาท ขาดทุน 1,342 ล้านบาท
• ปี 2020 รายได้ 3,491 ล้านบาท ขาดทุน 1,376 ล้านบาท
• ปี 2021 รายได้ 7,443 ล้านบาท ขาดทุน 1,930 ล้านบาท

ซึ่งนอกจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงแล้ว ด้วยสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทย และการฟื้นตัวด้านรายได้ที่ยังไม่ฟื้นกลับมาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย จากปัญหาเงินเฟ้อที่กดดันค่าครองชีพได้ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัว เพราะคนยังคงวางแผนการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง จึงทำให้การดำเนินธุรกิจต่อไปอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย และเป็นสาเหตุของการถอนตัวในครั้งนี้

ที่มา : กรมธุรกิจการค้า
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์

Businessplus #Business #นิตยสารBusinessplus #JDCentral #อีคอมเมิร์ช