‘Instagram’ ถูกสั่งหปรับ 405 ล้านยูโร ฐานละเมิดความเป็นส่วนตัวเด็ก

การใช้สื่อโซเชียลมีเดีย แน่นอนว่าการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสิ่งสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะในยุคสมัยที่มิจฉาชีพกำลังระบาดเป็นวงกว้าง และมาในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อการหลอกเอาทรัพย์สิน หรือแม้แต่การลักพาตัวเด็กโดยอาศัยข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย แล้วถ้าหากว่าข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้รับการปกป้องอย่างดีล่ะ? แน่นอนว่าย่อมส่งผลเสียตามมาไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน จากความกังวลนี้จึงทำให้แต่ละประเทศต่างก็แต่งตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อเข้ามาควบคุมและดูแลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้งานสื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ทุกคนใช้สังคมออนไลน์ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย

แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีหน่วยงานเข้ามากำกับดูแลความปลอดภัยในเรื่องนี้ แต่หากผู้ให้บริการจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่มีการป้องกันที่รัดกุมพอ ก็อาจเป็นช่องโหว่ในแง่ของการป้องกันข้อมูลจนเป็นเหตุให้เหล่าคนร้ายนำไปใช้ประโยชน์ได้ในที่สุด และยิ่งผู้ใช้เหล่านั้นคือเด็กและเยาวชนด้วยแล้ว ยิ่งส่งผลเสียมากเป็นพิเศษ ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ให้บริการจะต้องให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานอย่างรัดกุมที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง เพราะการปกป้องข้อมูลผู้ใช้งานไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องระหว่างผู้ให้บริการและผู้ใช้งานเท่านั้น แต่ยังมีผลเกี่ยวเนื่องทางกฎหมายที่จะนำมาซึ่งความยุ่งยากให้กับผู้ให้บริการได้ถ้าหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น เช่นเดียวกับกรณีของ ‘Instagram’

โดยคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลของ ‘ไอร์แลนด์’ หรือ ‘DPC’ (Ireland’s Data Protection Commissioner) ได้สั่งปรับ ‘Instagram’ เป็นมูลค่าสูงถึง 405 ล้านยูโร ฐานละเมิดความเป็นส่วนตัวของเด็ก เนื่องจากการรั่วไหลของข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่อีเมล ขณะที่มีรายงานว่าผู้ใช้บางรายอัปเกรดเป็นบัญชีธุรกิจเพื่อเข้าถึงเครื่องมือวิเคราะห์ เช่น การเยี่ยมชมโปรไฟล์ โดยไม่ทราบว่าสิ่งนี้ทำให้ข้อมูลของพวกเขาเป็นสาธารณะมากขึ้น

ด้าน ‘Meta’ เจ้าของ ‘Instagram’ เปิดเผยว่ามีแผนที่จะอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว ซึ่งถือเป็นค่าปรับครั้งที่สามที่หน่วยงานกำกับดูแลส่งมอบให้กับบริษัท โดยเจ้าหน้าที่ ‘Meta’ ระบุว่า การสอบสวนนี้เน้นไปที่การตั้งค่าเก่าที่บริษัทอัปเดตเมื่อกว่าหนึ่งปีที่แล้ว ซึ่งในเวลาต่อมา บริษัทก็ได้ออกฟีเจอร์ใหม่มากมายเพื่อช่วยให้เยาวชนปลอดภัย ซึ่งรวมไปถึงความเป็นส่วนตัวของข้อมูล โดยใครก็ตามที่อายุต่ำกว่า 18 ปี จะมีการตั้งค่าบัญชีเป็นส่วนตัวโดยอัตโนมัติเมื่อเข้าร่วม ‘Instagram’ ดังนั้น เฉพาะผู้ที่พวกผู้ใช้งานรู้จักเท่านั้นที่สามารถเห็นสิ่งที่ผู้ใช้งานโพสต์ และผู้ใหญ่จะไม่สามารถส่งข้อความถึงเยาวชนที่ไม่ได้ติดตามบัญชีผู้ใช้งานได้

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ ‘Meta’ ระบุว่า บริษัทได้ให้ความร่วมมือย่างเต็มที่ตลอดการสอบสวน แม้จะไม่เห็นด้วยกับวิธีคำนวณค่าปรับนี้และตั้งใจที่จะอุทธรณ์

สำหรับ ‘DPC’ นั้น มีหน้าที่ควบคุมบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่ในยุโรปในสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ซึ่งยังไม่เคยให้ค่าปรับกับบริษัทใดเป็นจำนวนมากในการละเมิดกฎระเบียบให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภคของสหภาพยุโรปมาก่อน อย่างไรก็ดี เมื่อปี 2564 ทาง ‘DPC’ ได้มีการปรับผู้ให้บริการ ‘WhatsApp’ เป็นจำนวน 225 ล้านยูโร ในขณะที่หน่วยงานด้านข้อมูลของลักเซมเบิร์กได้ปรับ ‘Amazon’ มากเป็นประวัติการณ์ด้วยมูลค่าสูงถึง 746 ล้านยูโร

ด้าน ‘Andy Burrows’ หัวหน้าฝ่ายนโยบายความปลอดภัยออนไลน์สำหรับเด็กของ ‘NSPCC’ (National Society for the Prevention of Cruelty to Children) กล่าวถึงการปรับของ ‘Instagram’ ว่านี่เป็นการละเมิดครั้งสำคัญที่มีนัยสำคัญในการปกป้องและมีโอกาสก่อให้เกิดอันตรายอย่างแท้จริงต่อเด็ก ๆ ที่ใช้ ‘Instagram’ โดยการพิจารณาคดีแสดงให้เห็นว่าการบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพสามารถปกป้องเด็กและเยาวชนบนโซเชียลมีเดีย และเน้นย้ำว่ากฎระเบียบทำให้เด็กและเยาวชนปลอดภัยทางออนไลน์มากขึ้น

 

ทั้งนี้ การปกป้องข้อมูลส่วนตัวทางโซเชียลมีเดีย ถือเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน เนื่องจากอาชญากรรมทางโซเชียลมีเดียมีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยข้อมูลจาก ‘Screen & Reveal’ ระบุสถิติการลักพาตัวบนโซเชียลมีเดีย ดังนี้

  1. ในปี 2020 ‘NCMEC CyberTipline’ ได้รับรายงานมากกว่า 21.7 ล้านฉบับ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรายงาน 16.9 ล้านฉบับในปี 2019 ศูนย์แห่งชาติเพื่อเด็กหายหรือถูกเอารัดเอาเปรียบแห่งชาติมีสิ่งที่เรียกว่า ‘CyberTipline’ ซึ่งเด็กๆ สามารถรายงานกรณีภัยคุกคามออนไลน์โดยไม่เปิดเผยตัวตนได้ รายงานส่วนใหญ่ที่สายด่วนได้รับในปี 2020 (21.4 ล้าน) มาจากผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์

 

  1. ข้อมูลของ ‘FBI’ ระบุว่า ในปี 2020 มีรายงานเด็กหาย 365,348 ราย แม้ว่าในจำนวนนี้จะได้รับการแก้ไขข้อมูลในภายหลัง เป็นสถานะ ‘คนหนี’ ซึ่งมักจะกลับบ้านด้วยตนเองในภายหลัง อย่างไรก็ดี ‘FBI’ ไม่ได้ให้สถิติการลักพาตัวบนโซเชียลมีเดียแยกต่างหาก แต่ได้มีการเปิดเผยวิธีการลักพาตัวทางโซเชียลมีเดียของอาชญากร โดยอาชญากรมักจะติดต่อกับเหยื่อในครั้งแรกบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและนำมาซึ่งการลักพาตัวเหยื่อในภายหลัง

 

  1. ‘FBI’ คาดว่าคดีลักพาตัวทางอินเทอร์เน็ตจะเพิ่มขึ้นท่ามกลางการระบาดของ COVID-19 โดย ‘FBI’ ได้เตือนในเดือนตุลาคม 2020 ว่าในขณะที่อาชญากรใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มโซเชียลเพื่อก่ออาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับสื่อการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก การใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่ออำนวยความสะดวกในการลักพาตัวก็มีการสำรวจน้อยลง อย่างไรก็ตาม การลักพาตัวผ่านสถิติทางโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นว่าผู้ลักพาตัวเด็กมักจะสร้างบัญชีบนโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มการออกเดต โดยมองหาเหยื่อที่อาจตกเป็นเหยื่อ ซึ่งต่อมาจะพยายามที่จะดูแลและเกลี้ยกล่อมให้พบกันแบบออฟไลน์

 

  1. เด็กส่วนใหญ่ยอมรับคำขอเป็นเพื่อนโดยไม่คำนึงว่าจะรู้จักบุคคลนั้นหรือไม่ โดยสถิติล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเด็กมากถึง 70% ในสหรัฐอเมริกายอมรับ ‘คำขอเป็นเพื่อน’ ไม่ว่าจะรู้จักบุคคลที่ส่งคำขอมาหรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้ สถิติยังเผยอีกว่า 43% ของเยาวชนที่ได้พบกับผู้คนทางออนไลน์ มักจะนำไปซึ่งการพบเจอกันเป็นครั้งแรกในชีวิตจริง ซึ่งตัวเลขที่เกี่ยวข้องเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าผู้ปกครองและครูต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการให้ความรู้แก่ผู้เยาว์เกี่ยวกับอันตรายของอินเทอร์เน็ตและวิธีปฏิบัติตนในพื้นที่ออนไลน์ โดยแอปพลิเคชันควบคุมโดยผู้ปกครองและข้อจำกัดการใช้โซเชียลมีเดียอาจช่วยป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ เข้าถึง ‘ผู้ล่า’ ทางออนไลน์ได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างสภาพแวดล้อมของความไว้วางใจ เพื่อให้เด็ก ๆ ไม่รู้สึกว่าการแบ่งปันปัญหากับผู้ปกครองเป็นเรื่องน่าอายหรือเป็นปัญหาใหญ่เกินไป

 

ทั้งนี้ แม้ว่าผู้ปกครองอาจไม่สามารถติดตามโปรไฟล์โซเชียลมีเดียที่น่าสงสัยได้หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ แต่จะยังสามารถค้นหาว่าใครกำลังโทรหาหรือส่งข้อความถึงบุตรหลานได้ โดยใช้การค้นหาโทรศัพท์แบบย้อนกลับ ซึ่งบริการเหล่านี้ยังมีประโยชน์สำหรับผู้ใหญ่ที่ได้รับสายและข้อความที่น่ารำคาญหรือรบกวนจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก

 

  1. ผู้ลักพาตัวหันไปใช้โซเชียลมีเดียเพราะความเสี่ยงในการตรวจพบต่ำกว่า โดย ‘FBI’ เปิดเผยว่า สถิติการลักพาตัวบนโซเชียลมีเดียระบุว่าผู้ลักพาตัวเด็กต้องการใช้ช่องทางออนไลน์ ซึ่งรวมถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์ เนื่องจากความเสี่ยงที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจะตรวจพบทันทีนั้นต่ำกว่าการพบปะซึ่งหน้ามาก โดยสิ่งนี้ได้รับการอำนวยความสะดวกมากขึ้นจากการปรากฏตัวของผู้เยาว์บนโซเชียลมีเดีย โดยสังเกตว่าวัยรุ่น 22% เข้าสู่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่พวกเขาชื่นชอบมากกว่าสิบครั้งต่อวัน และเด็กมากถึง 50% ทำเช่นนั้นมากกว่าหนึ่งครั้ง ซึ่งตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่าผู้ปกครองต้องตั้งกฎเกณฑ์เกี่ยวกับกิจกรรมบนโซเชียลมีเดียของบุตรหลาน และจับตาดูสิ่งที่พวกเขาทำทางออนไลน์

 

  1. ผู้กระทำความผิดทางเพศทางออนไลน์ส่วนใหญ่ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยสถิติการดูร่างกายทางออนไลน์และสถิติการลักพาตัวบนโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นว่ากว่า 65% ของผู้กระทำความผิดทางเพศผ่านทางออนไลน์หันไปใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับนิสัย กิจวัตร และตำแหน่งของผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นเหยื่อ โดยอาชญากรรมทางเพศต่อเด็กในอเมริกามากถึง 82% มาจากโซเชียลมีเดีย จากข้อมูลการสอบสวน และการจับกุม

 

  1. โซเชียลมีเดียมีมูลค่าความเสียหายกว่า 155 ล้านดอลลาร์ จากเหยื่ออาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตในปี 2020 โดยรายงานล่าสุดโดย ‘FBI’ แสดงให้เห็นว่าโซเชียลมีเดียเป็นพาหะของอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้คน 35,439 คน สร้างความเสียหายกว่า 155 ล้านเหรียญ ในปี 2020 ทั้งนี้ รายงานไม่ได้ระบุการลักพาตัวทางโซเชียลมีเดียหรือจำนวนผู้ถูกลักพาตัวทางออนไลน์ แต่จะเน้นที่สถิติความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตโดยทั่วไปและรวมถึงรายงานการกรรโชกและอาชญากรรมต่อเด็ก

 

  1. เมื่อถึงอายุ 2 ขวบ 90% ของเด็กวัยหัดเดินจะมีสื่อโซเชียลอยู่บ้าง และไม่ใช่เพราะเด็กเหล่านั้นสามารถหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านอายุของโซเชียลมีเดียได้ แต่เกิดจากการที่พ่อแม่แบ่งปันข้อมูลผ่านทางโซเชียลมากเกินไป ประกอบกับความรู้ที่ไม่เพียงพอเกี่ยวกับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ส่งผลให้ในบางครั้งนำมาซึ่งการลักพาตัวทางดิจิทัล ตามคำจำกัดความของการลักพาตัวแบบดิจิทัล โดยการกระทำเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับการขโมยภาพถ่ายของผู้เยาว์ โดยที่ผู้กระทำความผิดทำตัวราวกับเป็นพ่อแม่หรือเพื่อนของเด็ก

 

  1. 56% ของผู้ปกครองแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับบุตรหลานของตนทางออนไลน์ โดยการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่สำรวจการแบ่งปัน (ผู้ปกครองแชร์รูปภาพของบุตรหลานของตนบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย) พบว่า 51% ของผู้ปกครองให้รายละเอียดที่อาจส่งผลให้ระบุตำแหน่งของลูกหลานได้ ส่วนอีก 27% แชร์รูปภาพที่ไม่เหมาะสม ซึ่งตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าผู้ปกครองจำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตนในพื้นที่ดิจิทัลเมื่อต้องแชร์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับบุตรหลาน โดยมาตรการง่าย ๆ ที่ผู้ปกครองสามารถทำได้คือเลือกสิ่งที่จะแบ่งปันมากขึ้น และกำหนดข้อจำกัดว่าใครสามารถดูรูปภาพจากลูก ๆ ของพวกเขา และไม่เคยเปิดเผยตำแหน่งของพวกเขา

 

  1. การศึกษาวัฒนธรรมของการลักพาตัวทางดิจิตอลและอินเทอร์เน็ต พบว่าผู้กระทำผิดหลายรายเป็นผู้หญิงที่ใช้รูปถ่ายเพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อว่าตนเองเป็นแม่

 

  1. ชุดแฮชแท็กเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวทางดิจิทัล แฮชแท็กหลายรายการ โดยเฉพาะ #adoptionrp, #orphanrp และ #babyrp อาจบ่งบอกถึงการลักพาตัวทางดิจิทัล โดยสถิติการลักพาตัวทางดิจิทัลและทางอินเทอร์เน็ตบ่งบอกว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลังแฮชแท็กเหล่านี้กำลังสวมใช้รูปภาพปลอมและบทบาทสมมติ

 

  1. ในกรณีร้ายแรง การลักพาตัวทางดิจิทัลอาจนำไปสู่อาชญากรรมทางไซเบอร์หรือโซเชียลมีเดียที่ร้ายแรง โดยสถิติการวิจัยและการโจรกรรมข้อมูลระบุตัวตนของ ‘เอสโตเนีย’ ซึ่งพิจารณาถึงการลักพาตัวทางดิจิทัล แสดงให้เห็นว่าในบางครั้ง ปรากฏการณ์นี้อาจส่งผลให้เกิดอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตที่แท้จริง เช่น การขโมยข้อมูลประจำตัวของเด็ก หรือแม้แต่การดูแลออนไลน์ โดยสถิติการลักพาตัวทางดิจิทัลและทางอินเทอร์เน็ตแสดงให้เห็นอีกว่ามีการอัปโหลดภาพถ่ายของเด็กที่ถูกขโมยบนเว็บไซต์โดยอ้างว่าสามารถซื้อเป็นทาสทางเพศได้ หรือในกรณีอื่น ๆ ผู้ลักพาตัวทางดิจิทัลอ้างว่าเด็กป่วยหนักและพยายามหาเงินมารักษา

 

เขียนและเรียบเรียง : เพชรรัตน์ แสงมณี

ที่มา : BBC, Screen & Reveal

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/

Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #Instagram #IG #อาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต #อาชญากรรมออนไลน์ #อาชญากรรมทางดิจิทัล #การลักพาตัว #เด็กและเยาวชน #การปกป้องข้อมูลเด็กและเยาวชน