GULF พลังงานยักษ์ใหญ่กำไรพุ่งเท่าตัว!! ธุรกิจก๊าซยังเป็นหัวหอกหลักของการสร้างรายได้

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ผู้ประกอบการธุรกิจด้านพลังงานยักษ์ใหญ่ของไทย ได้รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1/65 มีกำไรเติบโตถึง 108% มาอยู่ที่ 3,395 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64 ที่มีกำไรอยู่ที่ 1,632 ล้านบาท โดยมีรายได้รวมจากการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 22,453 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64

สำหรับกำไรที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น โดยหลักมาจากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1-2 ซึ่งเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2564 และผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BRK2 ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุน INTUCH และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ IPP ภายใต้กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรเพิ่มขึ้นจาก heat rate margin ที่เพิ่มขึ้น ภายหลังมีการจ่ายไฟให้ กฟผ. มากขึ้น

ในส่วนของ EBITDA ในไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 7,075 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64 โดยเปลี่ยนแปลงตามทิศทางเดียวกับ Core Profit

ปัจจุบัน GULF ประกอบธุรกิจ 3 ส่วนหลัก ๆ ด้วยกัน ได้แก่

1. ธุรกิจพลังงาน ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวข้องของกลุ่มบริษัทฯ ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และธุรกิจก๊าซ โดยมีสัดส่วนรายได้ คือ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ 79.6%, ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน 10.3%

2. ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค โดยลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคทั่วประเทศ รวมถึงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 ในส่วนการก่อสร้างสถานีขนส่ง LNG, การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 (อาคาร F) ในส่วนการก่อสร้าง การเดินเครื่อง และการบำรุงรักษาท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์, โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) โครงการบริการเดินรถและซ่อมบำรุงมอเตอร์เวย์ระหว่างเมือง บางใหญ่ – กาญจนบุรี (M81) ในส่วนงานออกแบบและก่อสร้างงานระบบ รวมถึงบริการเดินเครื่อง บำรุงรักษา และยังมีโครงการร่วมทุนเพื่อลงทุนและดำเนินงานระบบจำหน่ายไฟฟ้าและระบบทำความเย็นสำหรับโครงการ One Bangkok ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร สำหรับสัดส่วนรายได้ในส่วนนี้จะอยู่ที่ 1.5%

3. ธุรกิจดิจิทัล โดยในปี 2564 GULF ได้จัดทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) สำหรับหุ้นสามัญของ INTUCH ซึ่งทำให้บริษัทฯ ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งเป็นการเปิดประตูไปสู่โอกาสในการดำเนินธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอื่น ๆ ที่น่าสนใจ โดยมีสัดส่วนรายได้ในส่วนนี้อยู่ที่ 8%

ท่ามกลางภาวะวิกฤติที่นอกจากผู้คนจะต้องต่อสู้กับโรคอุบัติใหม่แล้ว ยังมีภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ราคาข้าวของต่างพากันปรับขึ้นราคา หรือแม้แต่โครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างพลังงานไฟฟ้า ซึ่งแม้จะมีการค่าบริการที่เพิ่มขึ้น แต่ในด้านความต้องการกลับมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่น่าสนใจว่าผู้นำด้านธุรกิจอย่างพลังงานอย่าง GULF จะยังคงสร้างผลกำไรได้มากน้อยเพียงใดต่อจากนี้

เขียนและเรียบเรียง : เพชรรัตน์ แสงมณี

ที่มา : SET, GULF

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #GULF #ธุรกิจพลังงาน #กัลฟ์ #พลังงานไฟฟ้า