ทราย ดร.ประถมาภรณ์ ฟักฤกษ์   นักการศึกษาฝีมือเฉียบ กับบทพิสูจน์การเปลี่ยนผ่าน ธุรกิจครอบครัว

ท่ามกลางสถานการณ์การศึกษาไทยที่เรียกได้ว่าเข้าขั้นน่าเป็นห่วง สืบเนื่องมาจากอัตราการเกิดของคนไทยที่ลดลง ทำให้จำนวนเด็กที่เข้าสู่ระบบการศึกษาในโรงเรียนลดลงตามไปด้วย กลายเป็นความท้าทายของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา โดยเฉพาะโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่ในช่วงหลัง ๆ แทบจะไม่ได้ข่าวคราวการขยายตัวทางธุรกิจมากนัก

แต่ไม่ใช่กับ โรงเรียนศรีสุวิช โรงเรียนที่ติด 1 ใน 3 ของพัทยา ซึ่งนับว่ามีโมเดลการบริหารจัดการที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในแง่ของการขยายตัว โดยสามารถเพิ่มจำนวนเด็กที่เข้าเรียนจากหลักร้อย ขึ้นมาแตะ 3,500 คนภายในระยะเวลาเพียงแค่ 4 ปี ภายหลังการเข้ามาของ ทราย-ประถมาภรณ์ ฟักฤกษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนศรีสุวิช ทายาทรุ่นที่ 2 ที่เข้ามาเปลี่ยนโฉมโรงเรียนที่คุณแม่สร้างให้เป็นที่ 1 ในใจผู้ปกครองได้อย่างน่าสนใจ

 

ศรีสุวิช ธุรกิจครอบครัว

เพราะคลุกคลีและเติบโตมากับธุรกิจการศึกษามาตั้งแต่เด็ก ทำให้ทราย-ประถมาภรณ์ เลือกที่จะสานต่อเจตนารมย์ของคุณแม่ ในการรับช่วงต่อธุรกิจโรงเรียนศรีสุวิชทันทีที่เรียนจบปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ โดยในช่วงแรกเป็นช่วงของการปรับระบบการเรียนการสอนใหม่เป็นกลุ่มสาระต่าง ๆ เพราะในช่วงนั้นโรงเรียนยังไม่มีตารางสอน ครูประจำชั้น 1 คนทำการสอน 2 วิชา ซึ่งไม่ใช่เรื่งง่าย เพราะบุคลากรครูในโรงเรียนขณะนั้นเขียนแผนการสอนไม่ได้ เนื่องจากเป็นคุณครูรุ่นเก่าที่เรียนมาเพื่อสอน ในจุดนี้เองทราย-ประถมาภรณ์ ต้องใช้เวลาอธิบายในครอบครัวให้เข้าใจตรงกัน ก่อนที่จะไปกระจายให้กับครูคนอื่น ๆ ในโรงเรียนและจัดการฝึกอบรม จนโรงเรียนเริ่มมีตารางสอน เริ่มมีการแบ่งสายวิชาที่ชัดเจนเป็นกลุ่มสาระต่าง ๆ

และในปีเดียวกัน ทราย-ประถมาภรณ์ ตัดสินใจเดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทในต่างประเทศ โดยในระหว่างที่กำลังศึกษาได้จัดทำแผนการสอนและแผนการบริหารต่าง ๆ ส่งไปรษณีย์กลับมาที่เมืองไทย เพื่อปรับระบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

ศรีสุวิช ธุรกิจครอบครัว

ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาของโรงเรียนศรีสุวิช เริ่มต้นขึ้นทันทีที่ ทราย-ประถมาภรณ์ เรียนจบและกลับมาสานต่อเจตนารมย์การบริหารโรงเรียนต่อจากคุณแม่ในฐานะครูใหญ่ ด้วยการสร้าง Direction ใหม่ ๆ เสริมกิจกรรมที่หลากหลายขึ้นมา เพื่อพัฒนาเด็กและพัฒนาครูไปพร้อมกัน

 

“หลังจากจบปริญญาโทกลับมา คุณแม่ให้เข้ามาดูแลโรงเรียนในฐานะครูใหญ่เลย ตอนนั้นกังวลมากเพราะเราอายุ 24 ต้องเข้าไปเป็นครูใหญ่ เราจะสามารถทำให้ครูที่อยู่มาก่อนซึ่งบางคนอายุ 60-70 ยอมรับและปรับตามสิ่งที่เราอยากเปลี่ยนได้ไหม แต่คุณแม่มอง ว่าถ้าทรายไม่เป็นครูใหญ่ ทรายจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้เลย ซึ่งมันก็จริง ถ้าเราเป็นครูสอนหนังสือ เราก็อาจสอนได้แค่เด็ก แต่ถ้าเป็นครูใหญ่เราจะสอนครูได้ด้วย”

 

ศรีสุวิช ธุรกิจครอบครัว

ภารกิจแรกในฐานะครูใหญ่ของทราย-ประถมาภรณ์ คือการทุ่มงบสร้างสภาพแวดล้อมโรงเรียนใหม่ทั้งหมด ภายใต้ความเชื่อที่ว่า มนุษย์ต้องมี 4 มิติ กาย อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ โดยศรีสุวิชยึดถือใน 4 Dimensions เพื่อการเรียนรู้และการดำเนินชีวิต ซึ่งประกอบไปด้วย


1. Physical … To live เพราะเด็กส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ดังนั้นสิ่งที่ ศรีสุวิช ต้องทำคือสร้างโรงเรียนให้น่าอยู่ เริ่มขยายตึกใหม่ ทำห้องน้ำใหม่ รวมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในโรงเรียน


2. Social & Emotional … To love ผ่านกิจกรรมสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับครู เด็กกับครู เด็กกับผู้ปกครอง และโรงเรียนกับชุมชน


3. Mental … To learn สร้างโครงการและโปรแกรมการเรียนใหม่ ๆ เพื่อเสริมศักยภาพทางด้านต่าง ๆ


4. Spiritual … To leave a legacy ใช้แอคชันเลิร์นนิ่งในการดูแลเด็กอนุบาล ในเรื่องของกิจกรรมในมิติของการสร้าง Direction

 

ท่ามกลางความกังวลใจของผู้บริหารรุ่นแรก ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้ยอดนักเรียนลดลง ทราย-ประถมาภรณ์ สร้างความต่อเนื่องของ 4 Dimensions จนนำมาสู่การพัฒนาคน และเพิ่มโปรแกรมการเรียนรู้ที่หลากหลายขึ้น ส่งผลให้โรงเรียนมี Direction มากขึ้น จนผู้ปกครองมองเห็นการเปลี่ยนแปลง ความท้าทายต่อมาคือ การอธิบาย ฉายภาพ และให้ข้อมูลแก่คุณครูและผู้ปกครองให้เข้าใจตรงกัน และใน 2 ปีต่อมา ทราย-ประถมาภรณ์ ได้เริ่มขยายโรงเรียนจาก 30 ห้องเรียนเป็น 70-80 ห้องเรียน แม้ว่าผู้บริหารรุ่นแรกจะไม่เห็นด้วย

 

ศรีสุวิช ธุรกิจครอบครัว

“การที่เราได้พยายามเปลี่ยนแปลงจนตอบโจทย์การเรียนรู้ในยุคใหม่ ผู้ปกครองและคนทั่วไปรับรู้แล้วว่าโรงเรียนเปลี่ยนไป มีโครงการ Direction มากขึ้น เราก็พยายามทำความเข้าใจกับคุณครูของเรา ในขณะที่คุณครูเองก็ต้องพยายามปรับเปลี่ยนบทบาทมากขึ้น เพราะในยุค Disruption การศึกษาต้องเน้นการมีส่วนร่วม และการเรียนรู้ที่สร้างแรงกระตุ้นในการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ครูจำเป็นต้องทำงานหนักขึ้น ครูต้องเปลี่ยนตัวเองเป็น Coach ด้วยซ้ำ”

 

ผลจากการทุ่มเทของ ทราย-ประถมาภรณ์ ทำให้ในปีที่ 4 มียอดเด็กเข้าเรียนเพิ่มขึ้นที่ 3,500 คน กระโดดขึ้นมาจาก 900 คน ภายใต้การบริหารของ Generation ที่ 1

 

“เราเป็น Generation  2 ที่พยายามจะพัฒนาทั้งโรงเรียนและหลักสูตรให้ตอบโจทย์ผู้ปกครองและคนที่มาใช้บริการ ซึ่งเรามีความรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เราทำ แล้วคนอื่นมองเห็นการเปลี่ยนแปลง คุณภาพการศึกษาเพิ่มมากขึ้นทำให้เราได้รับการยอมรับจากคนอื่น อีกเรื่องคือเราไม่เก็บค่าแรกเข้า ไม่สร้างภาระให้ผู้ปกครอง เพราะเขาต้องจ่ายเทอมอยู่แล้ว และเราไม่อยากเสียโอกาสในกรณีที่มีเด็กเก่ง ถ้าหากเรามีค่าแรกเข้า เราก็จะเสียเด็กที่มีคุณภาพเหล่านี้ไป”

 

ศรีสุวิช ธุรกิจครอบครัว

และแน่นอนว่าความเป็น Generation 2 ที่เข้ามาสืบทอดธุรกิจครอบครัวที่ทราย-ประถมาภรณ์ ต้องเผชิญหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่ต่างจากทายาทธุรกิจอื่น ๆ คือ คน หรือบุคคลเก่าแก่ที่อยู่มาตั้งแต่ Generation แรก ซึ่งความท้าทายอยู่ที่ทำให้คนเหล่านี้ยอมรับ เชื่อมั่น และพร้อมที่ปรับตัวในทุกการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

 

“ในธุรกิจของทรายมี 4 Generation ตั้งแต่ Gen builder, Baby Boomer, Gen-X, และ Gen-Y วัฒนธรรมองค์กรของเราตั้งแต่รุ่นที่หนึ่ง สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ เราไม่มีเกษียน เพราะวิชาชีพครูแตกต่างจากวิชาชีพอื่น มันเป็นเรื่องของการโค้ชคน ครูที่จบมาใหม่ ๆ มีความรู้เต็มที่ไฟแรงอยากสอน อยากทำงาน

 

แต่คนที่เขาผ่านประสบการณ์สอนมาก่อน มีอายุมากกว่า 70 ขึ้นไป เขาจะไม่สอน แต่จะอยู่ประจำชั้น บทบาทหน้าที่เขาจะเปลี่ยนไป เช่น ช่วงเปิดเทอมแรก ๆ จะมีเด็กไม่อยากมาโรงเรียน เราก็ต้องส่งไปให้ Gen Builder กอดบ้าง ปลอบบ้าง เขาสามารถเก็บเด็กได้หมด  เก็บผู้ปกครองได้ด้วย เพราะผู้ปกครองรุ่นเดียวกับเรา บางทีเราพูดอะไรไปเขาจะตั้งคำถามว่าจริงเหรอ แต่พอไปเจอ Gen Builder เขาจะช่วยเคลียร์ใจทุกอย่าง เราจะให้เขาทำหน้าที่เป็นโค้ชสอนครูอีกที

 

ศรีสุวิช ธุรกิจครอบครัว

เพราะตอนที่ทรายเข้ามา เขาก็คงอึดอัดเพราะทรายเปลี่ยนค่อนข้างเยอะ เขาไม่สบายใจ บางคนขอไม่สอนเพราะต้องทำเตรียมการสอน ทำพาวเวอร์พ้อยท์ เลยบอกว่าจริง ๆ ไม่สอนก็ได้ แต่สอนครูได้ไหม เป็นโค้ชให้เขาในการทัชแมเนจเม้นต์อะไรต่าง ๆ แรก ๆ ก็หนักพอสมควรในการที่ต้องต่อสู้กับความคิดของคนเก่า ๆ เพราะเรามองว่าพวกนี้เป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญของเรา อยู่กันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่ มีอาคารเล็ก ๆ แค่หลังเดียวจนเติบโตขึ้นมา ซึ่งเขาก็เก่งที่จะอยู่ได้ในหลาย ๆ Generation”

 

และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการเปลี่ยนผ่าน Generation และประยุกต์ใช้ในความต่าง จนได้จุดที่ลงตัวอย่างน่าสนใจ