ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “ตลาดน้ำมะพร้าว” กลายเป็นหนึ่งในสมรภูมิที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้นของธุรกิจเครื่องดื่มไทย เพราะนอกจากจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนภาพลักษณ์ของสุขภาพและธรรมชาติแล้ว ยังมีศักยภาพในการส่งออกสูง โดยเฉพาะในตลาดยุโรปและเอเชียตะวันออก จากข้อมูลที่ปรากฏพบว่ามีผู้เล่นรายใหญ่หลายรายในตลาดนี้ ซึ่งแต่ละบริษัทต่างมีจุดเด่นและผลประกอบการที่สะท้อนกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่างกันออกไปอย่างน่าสนใจ

เริ่มจาก “บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)” บริษัทที่มีรายได้รวมสูงสุดในกลุ่มนี้ถึง 8,496.22 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 308.15 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิราว 3.63% โดยมีผลิตภัณฑ์เด่นอย่าง Malee Coco จุดแข็งของมาลีคือการมีฐานผู้บริโภคที่กว้างและระบบจัดจำหน่ายที่แข็งแรงทั้งในและต่างประเทศ ทว่าตัวเลขกำไรต่อรายได้ที่ค่อนข้างต่ำสะท้อนว่าการขยายขนาดธุรกิจยังไม่สามารถแปลงเป็นผลตอบแทนที่สูงได้ อาจเกิดจากต้นทุนการผลิตและการตลาดที่สูง หรือการเน้นแข่งขันด้านราคาเพื่อครองส่วนแบ่งตลาด
ด้าน “บริษัท เทพผดุงพรมะพร้าว จำกัด” ผู้ผลิตน้ำมะพร้าวแบรนด์ ชาวเกาะ Coconut Water ทำรายได้รวม 7,953.21 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 636.43 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิราว 8% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับขนาดรายได้ ความสำเร็จของบริษัทนี้มาจากความแข็งแกร่งด้านวัตถุดิบ เนื่องจากเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ควบคุมกระบวนการตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางได้ดี ทำให้สามารถรักษาคุณภาพสินค้าในราคาที่สมเหตุสมผล
ส่วน “บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน)” เจ้าของแบรนด์ Thai Coco และ Coco Buri มีรายได้รวม 6,008.39 ล้านบาท กำไรสุทธิ 648.80 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิราว 10.8% ซึ่งถือว่าสูงมากในอุตสาหกรรมเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนและการทำตลาดระดับพรีเมียมที่มีมาร์จิ้นสูง กลยุทธ์ของไทย โคโคนัทจึงน่าจะอยู่ที่การเน้นคุณค่าของผลิตภัณฑ์และช่องทางส่งออกที่มีกำไรต่อหน่วยสูง
“บริษัท เอเซียติค อุตสาหกรรมเกษตร จำกัด” เจ้าของแบรนด์ Cocomax ทำรายได้รวม 4,157.29 ล้านบาท กำไรสุทธิ 187.34 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิราว 4.51% แม้เป็นแบรนด์ที่อยู่ในกลุ่มพรีเมียมและเป็นที่รู้จักในประเทศ แต่กำไรต่อรายได้ยังอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งอาจสะท้อนถึงการแข่งขันสูงในกลุ่มสินค้าระดับเดียวกันและต้นทุนวัตถุดิบที่ผันผวน
“บริษัท ชบาบางกอก จำกัด” เจ้าของแบรนด์ Chabaa Coconut Water มีรายได้รวม 3,810.66 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 127.07 ล้านบาท (อัตรากำไร 3.33%) แม้ราคาจำหน่ายต่อขวดจะอยู่ในระดับทั่วไป (25 บาทต่อ 310 ml.) แต่ผลกำไรยังไม่สูงนัก ซึ่งอาจเป็นผลจากค่าใช้จ่ายในการขยายตลาดและการแข่งขันกับผู้เล่นรายใหญ่
ขณะที่ “บริษัท เจนเนอรัล เบฟเวอร์เรจ จำกัด” เจ้าของแบรนด์ IF อีฟ น้ำมะพร้าว มีรายได้รวม 3,459.68 ล้านบาท กำไรสุทธิ 100.70 ล้านบาท หรืออัตรากำไรสุทธิ 2.91% น่าสนใจว่าราคาขายต่อหน่วยของแบรนด์นี้ถือว่าสูงสุดในกลุ่ม (25 บาทต่อ 200 ml. หรือราว 0.125 บาทต่อมิลลิลิตร) แต่กลับมีกำไรต่ำ ซึ่งบ่งชี้ว่าต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายทางการตลาดอาจสูงเกินไป ทำให้ราคาที่ตั้งไว้ไม่สามารถแปลงเป็นผลกำไรได้เต็มที่
อย่างไรก็ตาม “IF น้ำมะพร้าวไทย” ยังคงสร้างชื่อเสียงในระดับโลก ด้วยการขึ้นแท่นยอดขายอันดับ 1 ในตลาดจีน พร้อมก้าวสู่เวทีสากลด้วยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง มูลค่ากว่า 4.2 หมื่นล้านบาท แบรนด์ยังมีกลยุทธ์การตลาดที่ตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล ด้วยการเลือกใช้ “เซียวจ้าน” นักแสดงชื่อดังของจีนเป็นพรีเซนเตอร์ รวมถึงการออกคอลเลกชันพิเศษร่วมกับแบรนด์ POP MART ที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ระดับพรีเมียมและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สุดท้าย “บริษัท ทิปโก้ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน)” ผู้ผลิตแบรนด์ Tipco Coconut Water ทำรายได้รวม 2,040.74 ล้านบาท แต่ขาดทุนสุทธิ 92.10 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิราว -4.51% สะท้อนถึงแรงกดดันทั้งจากต้นทุนวัตถุดิบ การแข่งขันด้านราคา และการตลาดที่อาจยังไม่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งหันไปหาสินค้าพรีเมียมสุขภาพในรูปแบบใหม่มากขึ้น
เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงตัวเลขจะเห็นว่า “ขนาดรายได้” ไม่ได้หมายถึง “ความสามารถในการทำกำไร” เสมอไป ตัวอย่างชัดคือมาลีที่มีรายได้สูงสุดแต่กำไรต่อรายได้ต่ำ ขณะที่ไทย โคโคนัทกลับทำอัตรากำไรได้สูงแม้รายได้รองลงมา ซึ่งชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จในตลาดนี้ขึ้นอยู่กับการบริหารต้นทุน การเลือกกลุ่มเป้าหมาย และกลยุทธ์ราคามากกว่าการเน้นยอดขายเพียงอย่างเดียว
อีกหนึ่งปัจจัยที่สะท้อนแนวทางของแต่ละแบรนด์คือ “ราคาต่อมิลลิลิตร” ซึ่งเผยความแตกต่างด้านกลยุทธ์ได้อย่างชัดเจน ไทย โคโคนัทและเทพผดุงพรตั้งราคาต่อมล. อยู่ในระดับกลางราว 0.075 บาท/ml ขณะที่เจนเนอรัล เบฟเวอร์เรจตั้งราคาสูงสุดที่ 0.125 บาท/ml แต่กลับมีกำไรต่ำ ส่วนเอเซียติคและมาลีมีราคาประมาณ 0.071 บาท/ml ซึ่งอยู่ในกลุ่มคุ้มค่า และทิปโก้แม้มีราคากลางแต่ยังขาดทุน แสดงถึงความท้าทายเชิงโครงสร้างในด้านต้นทุนหรือกลยุทธ์ตลาด
นอกจากนี้ ในปีนี้ยังเป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เนื่องจากราคามะพร้าวในประเทศซึ่งเป็นต้นทุนหลักของอุตสาหกรรม ได้ปรับลดลงเหลือลูกละเพียงประมาณ 2–4 บาท ในช่วงปลายปี 2568 จากระดับเดิมที่เคยแตะ 16–17 บาท ต่อผลในบางช่วงที่ผ่านมา ปัจจัยดังกล่าวไม่เพียงช่วยลดภาระต้นทุนวัตถุดิบของผู้ผลิตรายใหญ่เท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ของบริษัทในปี 2568–2569 อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะรายที่มีการควบคุมห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น ไทย โคโคนัท และเทพผดุงพร ที่สามารถใช้ประโยชน์จากราคาวัตถุดิบที่ลดลงได้อย่างเต็มที่ ขณะที่รายอื่นอาจต้องเร่งปรับกลยุทธ์การตลาดและกระจายช่องทางจำหน่ายเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
โดยสรุป จากข้อมูลทั้งหมดนี้จะเห็นว่า ตลาดน้ำมะพร้าวของไทยมีความหลากหลายทั้งด้านขนาดธุรกิจ กลยุทธ์ราคา และประสิทธิภาพในการทำกำไร ไทย โคโคนัทและเทพผดุงพรถือเป็นตัวอย่างของการสร้างสมดุลระหว่างราคาและกำไรได้อย่างชัดเจน ในขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่างมาลีหรือทิปโก้ยังต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ส่วน IF ซึ่งกำลังขยายฐานสู่ตลาดโลก ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าจับตาในแง่ของ “กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ระดับโลกจากสินค้าไทย”
เมื่อประกอบกับแนวโน้มต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าปีหน้าจะเป็น “ปีแห่งโอกาส” ของธุรกิจน้ำมะพร้าวไทย ที่อาจเห็นการฟื้นตัวของกำไรและการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างโดดเด่น ตลาดนี้จึงยังคงเป็นภาพสะท้อนของ “การแข่งขันเชิงคุณภาพและต้นทุน” ที่เข้มข้น และเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจเครื่องดื่มไทยที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ที่มา : ที่มา : เว็บไซต์บริษัท , DBD , Set ,กลุ่มผู้ปลูกมะพร้าวน้ำหอม
The Business Plus บิสิเนสพลัส
