แกะข้อมูล ‘CENTEL’ หุ้นที่มีรายได้สูงที่สุดในกลุ่มท่องเที่ยว

บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ยังคงเป็นบริษัทในกลุ่มการท่องเที่ยว และสันธนาการ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่มีรายได้สูงที่สุดในกลุ่มได้เสมอ ถึงแม้ว่า COVID-19 จะเข้ามาทำให้กลุ่มท่องเที่ยวโดยเฉพาะโรงแรมได้รับผลกระทบอย่างหนักแค่ไหนก็ตาม

โดยธุรกิจหลักของ CENTEL มีอยู่ 2 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจโรงแรมในประเทศและต่างประเทศ กับแบรนด์ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี คือ เซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทารา เซ็นทรา โคซี่

และอีกหนึ่งธุรกิจ คือ ธุรกิจอาหารจานด่วนในประเทศไทย เช่น เดอะ เทอเรส อร่อยดี สุกี้เฮ้าส์ ซอฟท์แอร์ เกาลูน และแฟรนไชส์ชื่อดังอย่างมิสเตอร์โดนัท เคเอฟซี อานตี้แอนส์ เปปเปอร์ลันช์ โคลด์สโตนครีมเมอรี่ ชาบูตง โยชิโนยะ โอโตยะ เทนยะ และคัตสึยะ

จากโรงแรม และร้านอาหารที่หลากหลาย อีกทั้งมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้ CENTEL สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำกลุ่มเอาไว้ได้แบบไม่ยากเย็นอะไร และในช่วงไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมาถึงแม้บริษัทฯ จะยังมีผลขาดทุนสุทธิ แต่จะเห็นได้ว่าในส่วนของรายได้เริ่มกลับมาฟื้นตัวได้เกินกว่าครึ่งของรายได้ช่วงก่อนเกิด COVID-19 (ช่องก่อนเกิด COVID-19 รายได้ไตรมาส 1 อยู่ที่ราว ๆ 5,800 ล้านบาท และช่วงไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมารายได้กลับสู่ระดับ 3,900 ล้านบาท)

ย้อนกลับไปช่วงไตรมาส 1 ของปี 2562 ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เพียงเล็กน้อยบริษัทแห่งนี้มีรายได้รวม 5,743.74 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 825.91 ล้านบาท

ขณะที่ในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2564 ซึ่งได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เต็ม ๆ มีรายได้รวม 2,773.73 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 475.73 ล้านบาท เพราะบางช่วงโรงแรม และร้านอาหารไม่สามารถเปิดบริการได้

แต่ในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2565 ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานงวดล่าสุด CENTEL มีรายได้รวม 3,881.88 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 43.69 ล้านบาท (จะเห็นว่ารายได้เริ่มฟื้นกลับคืน โดยรายได้ไตรมาส 1 นี้คิดเป็น 67.24% ของรายได้ช่วงก่อน COVID-19)

มาดูในแง่ของงบการเงินรวม (งบปี) กันบ้าง ในปี 2562 มีรายได้ 21,291 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,744 ล้านบาท ส่วนปี 2563 มีรายได้ 13,249 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 2,775 ล้านบาท และล่าสุดปี 2564 มีรายได้ 11,635 ล้านบาท และมีผลขาดทุน 1,722 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่า CENTEL เริ่มประสบผลขาดทุนน้อยลง โดยเฉพาะในช่วงต้นปี 2565 ซึ่งประเทศไทยได้เปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ นั่นจะทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะกลับมาได้อย่างแข็งแกร่ง

โดยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทยจำนวน 497,693 คน เติบโต 24 เท่าตัวเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุมาจากการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ สำหรับการเดินทางเข้าไทยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยนักท่องเที่ยว 3 อันดับแรกคือ รัสเซีย เยอรมัน และสหราชอาณาจักร

นอกจากนี้กิจการโรงแรมในต่างประเทศก็ฟื้นตัวเช่นเดียวกัน โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติในมัลดีฟส์เติบโตถึง 45% และดูไบเติบโต 213%

และเมื่อเจาะเข้าไปถึงโครงสร้างรายได้ จะพบว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมในไตรมาส 1 อยู่ที่ 1,249 ล้านบาท เติบโตถึง 149% ส่วนรายได้ธุรกิจร้านอาหารเติบโต 16% มาที่ 2,633 ล้านบาท

โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากโรงแรมอยู่ที่ 32% และธุรกิจร้านอาหารอยู่ที่ 68% โดยรายได้ธุรกิจโรงแรมขยับเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 18% ในช่วงที่ถูกคุมเข้มจากมาตรการ COVID-19

ธุรกิจโรงแรมมีปัจจัยหนุน

ทั้งนี้พบข้อมูลว่า ปัจจุบัน CENTEL มีโรงแรมภายใต้การบริหารทั้งหมด 89 โรงแรม (18,751 ห้อง) เป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 47 โรงแรม (9,481 ห้อง) เป็นเจ้าของเอง 5,050 ห้อง และเป็นโรงแรมภายใต้สัญญาบริหาร 4,431 ห้อง และกำลังพัฒนา 42 โรงแรม (9,270 ห้อง)

โดย CENTEL มีอัตราการเข้าพัก (OCC) รวมทั้งในและต่างประเทศ ในช่วงไตรมาส 1/2565 ขยับขึ้นมาที่ 35% จากเดิม 14% ในไตรมาส 1/2564 ซึ่งมัลดีฟส์ และดูไบ มีอัตราการเข้าพักสูงที่สุด

สำหรับธุรกิจโรงแรมในปี 2565 มีปัจจัยหนุนคือ CENTEL จะรับรู้รายได้เต็มปีสำหรับ 2 โรงแรมเปิดใหม่ คือ โรงแรมเซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ ระดับ 4 ดาว จำนวน 607 ห้อง ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุน จะถูกบันทึกกำไรตามวิธีส่วนได้ส่วนเสียในงบการเงิน (ถือหุ้น 40%)

และโรงแรมเซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย ระดับ Luxury จำนวน 184 ห้อง ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CENTEL ทำให้รับรู้รายได้ทั้งหมดของโครงการนี้

แต่ธุรกิจโรงแรมยังมีปัจจัยที่จะกระทบต่อการท่องเที่ยวคือสงครามรัสเซีย-ยูเครน และมาตรการคุม COVID-19 ของแต่ละประเทศที่แตกต่างกันไป รวมไปถึงต้องจับตาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยมีการคาดการณ์อัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งปี 2565 อยู่ในช่วง 40-50%

เข้าซื้อเฟรนไชส์ร้านอาหารใหม่ หนุนยอดขายปีนี้

ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารนั้น มีรายได้เพิ่มขึ้นหลังจากภาครัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และความกังวลจากการติดเชื้อ COVID-19 ลดน้อยลง นอกจากนี้ CENTEL ยังขยายสาขาร้านอาหารเพิ่มขึ้น 209 สาขา เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2564

โดยแบรนด์ที่ CENTEL ได้ขยายสาขาในช่วงไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมา คือ อาริกาโตะ ขยายเพิ่ม 79 สาขา ,มิสเตอร์ โดนัท เพิ่ม 60 สาขา , เคเอฟซีเพิ่ม 15 สาขา ,แกร๊บคิทเช่น บาย เอเวอรีฟู้ด ขยาย 14 สาขา และแบรนด์ของบริษัทร่วมทุน เพิ่ม 22 สาขา

อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจอาหารนั้น ในช่วงที่ผ่านมาอัตราการทำกำไรขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 57% (ไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 59% และไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 60%) สาเหตุมาแรงกดดันทางด้านต้นทุนราคาวัตถุดิบ รวมถึงค่าขนส่ง

จึงพูดได้ว่า ธุรกิจอาหารยังเผชิญกับความเสี่ยงในแง่ของต้นทุนการขนส่ง และต้นทุนวัตถุดิบสินค้าที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทจะรับรู้รายได้จากการลงทุนในแบรนด์ใหม่ คือ ร้านอาหาร Shinkanzen Sushi และ Senma Sushi ซึ่งบริษัทเข้าถือหุ้นวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ในสัดส่วน 51% (มีสาขาทั้งหมด 38 สาขา)

สภาพคล่องยังแกร่ง

ในแง่ของอัตราส่วนทางการเงินพบว่ายังอยู่ในทิศทางที่ค่อนข้างดี โดยไตรมาส 1/2565 อัตราส่วนสภาพคล่องอยู่ที่ 0.7 เท่า จากปี 2564 อยู่ที่ 0.6 เท่า ทำให้เห็นว่าบริษัทมีหนี้สินหมุนเวียนเทียบกับสินทรัพย์หมุนเวียนดีขึ้น ดังนั้นปัญหาในการชำระหนี้ระยะสั้นเกิดได้ยากขึ้น ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.3 เท่า (ไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2564)

นอกจากนี้เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่มท่องเที่ยวแล้ว พบว่า อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) ของ CENTEL ยังค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 1.64 เท่า อีกทั้งยังมีสินทรัพย์สูงที่สุดในกลุ่ม คือ 48,299 ล้านบาท และมีเงินสดสุทธิล่าสุดที่ 126.49 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่า แม้ CENTEL ยังเผชิญกับผลขาดทุนสุทธิ แต่บริษัทแห่งนี้ยังมีความพร้อมในแง่ของแหล่งเงินทุน และมีความสามารถในการสร้างรายได้เป็นอย่างดี

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ CENTEL ยังคงรักษาตำแหน่งเบอร์ 1 กลุ่มท่องเที่ยวในตลาดหุ้นไทยเอาไว้ได้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งบริษัทที่มีรายได้เป็นอันดับที่ 2 คือ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ที่ยังมีรายได้ในระดับ 1,641 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 2,050 ล้านบาท ในปี 2564 ซึ่งยังห่างชั้นกับ CENTEL อยู่มาก

ด้านการประเมินของ นักวิเคราะห์ ‘บล.หยวนต้า’ ได้คาดการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาส 2/2565 แม้จะกลับมาทำกำไรปกติได้ยาก แต่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง และคาดการณ์กำไรปี 2565 อยู่ที่ 658 ล้านบาท

เป็นที่น่าจับตาว่า แผนการขยายร้านอาหาร รวมถึงเปิดให้บริการโรงแรมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจะช่วยให้ CENTEL ในปี 2565 สามารถกลับมาพลิกฟื้นเป็นกำไรได้หรือไม่? เพราะต่อจากนี้จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แต่ยังต้องแบกรับภาระจากเงินเฟ้อด้านต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นไปพร้อม ๆ กัน

เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์

ที่มา : SET ,CENTEL

ติดตาม Business+ ได้ที่ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #เศรษฐกิจ #หุ้น #อุตสาหกรรมท่องเที่ยว #การท่องเที่ยว #โรงแรม #ร้านอาหาร #CENTEL