ไม่ว่าจะตื่น เดิน นอน นั่ง อุปกรณ์ไอทีไฮเทศทั้งหลายเข้ามามีบทบาทกลายเป็นชิ้นส่วนของชีวิตที่ขาดไม่ได้ พ่อแม่หายคนที่กำลังยุ่งๆเองก็เลือกที่หยิบยื่นอุปกรณ์ไอทีเหล่านี้ใส่มือเด็กเช่นกัน ผลที่ตามมาคือ เด็กเหล่านี้มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจ้องหน้าจอเป็นเวลานานๆ
ซึ่งการปล่อยให้ปล่อยให้ทีวี แท๊ปเล็ต มือถือ เลี้ยงลูกและมีปฎิสัมพันธ์กับลูกมากกว่าคนนั้นไม่ใช่เรื่องที่เข้าท่าเท่าไหร่นัก นอกจากจะไม่ช่วยให้พัฒนาการของเด็กดีขึ้น ยังทำให้พัฒนาการทางด้านร่างกายและการเข้าสังคมแย่กว่าที่คิด กว่าผู้ใหญ่จะรู้ตัวเด็กก็กลายเป็นโรคติดจอไปเสียแล้ว ครั้นดึงลูกออกมาทำกิจกรรมนอกจากบ้านก็กลายเป็นเรื่องยากไปซะแล้ว
แต่เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ตามวัย แและช่วยเติมเต็มจินตนาการ พัฒนาการเข้าสังคม การใช้ชีวิตแก้ปัญหาต่างๆให้เด็กกิจกรรมนอกบ้านก็ถือเป็นสำคัญอยู่ดี ดังนั้นลองดึงลูกออกจากหน้าจอและหยิบยื่นกิจกรรมต่างๆที่หลากหลายให้แทนจะดีกว่า
1.เข้าค่ายภาษาอังกฤษ
นอกจจากจะได้เรียนรู้พัฒนาการทางด้านภาษาเพื่อนำไปใช้ต่อเติมในการเรียนหลักสูตร ยังทำให้เด็กได้ใช้ภาษาจริงๆ กล้าพูด กล้าคิดไม่ว่าจะผิดหรือถูก พร้อมๆไปกับการเรียนรู้การเข้าสังคมได้ไปในตัว
2.เล่นกีฬา
เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ฝึกการเข้าสังคม ทำงานเป็นทีม ความอดทน รวมไปถึงเรียนรู้การแพ้ ชนะ และอภัย ซึ่งเป็นพื้นฐานการใช้ในสังคมอย่างหนึ่ง
3.เรียนดนตรี/ร้องเพลง
สุนทรีด้านดนตรีเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างจินตนาการเด็กได้อย่างดี มีผลโดยตรงต่อพัฒนาการทางสมองร่างกาย และจิตใจ เพราะจะช่วยสร้างสมาธิ พัฒนาทักษะการฟัง การสื่อสาร พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็ก ซึ่งเด็กที่เรียนดนตรีมักจะทำให้มีความร่าเริง แจ่มใส มองโลกในแง่ดี
4.วาดรูประบายสี
ศิลปะเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง ที่ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์สร้างสมาธิ ทำให้เกิดจินตนาการได้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถพาเด็กไปวาดภาพระบายสีในสวนสาธารณะต่างๆก็ทำให้เกิดความเพลิดเพลินทั้งครอบครัวได้
5.ปลูกต้นไม้ พืชผักสวนครัว
เป็นกิจกรรมที่ทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะรักษาสภาพแวดล้อม ธรรมชาติ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และปลูกฝังการพึ่งพาตัวเองในการปลูกพืชผักสวนครัว
6.ไหว้พระ ทำบุญ ปล่อยนก ปล่อยปลา
เป็นการปลูกฝังการให้ การไม่เบียดเบียนผู้อื่น และเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมประเพณีของชาวพุทะ ซึ่งการเข้าวัดทำบุญยังเป็นการให้เด็กได้ซึมซับวัฒนธรรม จริยธรรมได้ ส่งเสริมสามารถควบคุมอารณ์ได้
7.ชมพิพิธภัณฑ์
ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือด้านวัฒนธรรม จะเป็นการสร้างประสบการณ์ในการแสวงหาความรู้ เปิดโลกการเรียนรู้ เพราะความรู้นั้นไม่ได้อยู่ในตำราเรียนการได้เห็นของจริง
8.ท่องเที่ยวเส้นทางธรรมชาติ
เป็นสิ่งที่ทำให้ครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันและเรียนรู้สิ่งต่างๆ สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตของกันและกันได้ใช้เวลาในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆระหว่างทาง
9.ประดิษฐ์ของเล่น
ไม่ว่าจะเป็นของใช้ หุ่นทำฝ้าย รถไฟจากกล่องนม เก้าอี้จากขวดน้ำ เป็นการช่วยพัฒนาทักษะทั้งแง่ความคิดสร้างสรรค์ การใช้กล้ามเนื้อมัดต่างๆของเด็ก ทำให้รู้จักคุณค่าของสิ่งของใกล้ตัวและความประหยัด
10.เลี้ยงอาหารกลางวันเด็กด้อยโอกาสหรือผู้สูงอายุ
นอกจากเป็นการแบ่งปันโอกาสให้กับผู้อื่น ยังเป็นการสอนให้เด็กรู้จักการให้การเสียสละ การถ่อมตน ซึ่งเป็นการสร้างพัฒนาทางด้านสังคมให้เด็กและปลูกฝังความมีจิตอาสาให้กับเด็ก
กิจกรรมที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อย ยังไงก็ลองนำมาปรับใช้บนหลักของความชอบและความสนใจของเด็กด้วย ถ้าบังคับมากไปในสิ่งไม่ชอบเด็กๆอาจต่อต้านและนำมาซึ่งปัญหาอื่นๆ ทางที่ดีค่อยเป็นค่อยไปและปรับใช้อย่างเหมาะสมนะคะ
ที่มา:thaihealth.or.th