“CMMU – สสส.” ฉายฉากทัศน์อนาคต 4 องค์กรเสาหลัก “เอกชน-รัฐ-วัด-มหาวิทยาลัย” ก่อนถึงปี 2035 ชี้บิ๊กความเสี่ยง “เบิร์นเอาต์ – ค่าใช้จ่ายสุขภาพพุ่ง” พร้อมแนะโร้ดแมปสร้างองค์กรสุขภาวะดี ดันไทยสู่ยุค Well-being

  • CMMU – สสส. เดินหน้าสร้าง Mindset ใหม่ให้องค์กร พร้อมเสนอ 10 แนวทางปฏิบัติ เปลี่ยนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสู่ “รับมือล่วงหน้า” และทักษะคาดการณ์ที่องค์กรต้องมี

วิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ร่วมกับสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เผยแพร่ผลการคาดการณ์ฉากทัศน์อนาคต “Foresight 2035 and Strategic Roadmap: Future of Well-being Organizations” ฉายภาพอนาคตสุขภาวะองค์กรไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า 4 องค์กรหลักได้แก่ เอกชน-รัฐ-วัด-มหาวิทยาลัย ผ่าน 16 ฉากทัศน์ ตั้งแต่ฉากทัศน์ในอุดมคติ ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญ ไปจนถึงความเลวร้ายที่ต้องรับมือ  ชี้หากไม่เร่งสร้างสุขภาวะที่ดีตั้งแต่วันนี้ องค์กรอาจต้องเผชิญวิกฤต Burnout ซึมเศร้า NCDs สมองไหล พร้อมเสนอ Roadmap นำทางสร้างเสริมสุขภาวะองค์กรในอนาคตทั้งในระยะสั้น-กลาง-ยาว เพื่อหลีกเลี่ยงอนาคตที่ไม่พึงประสงค์ โดยภายในงานยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานสัมมนาได้เสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเพื่อจัดทำ Roadmap ร่วมกัน

นายพงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) สสส. เปิดเผยว่าคนวัยทำงาน ถือเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ สุขภาวะของคนทำงานจึงเป็นรากฐานสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของประเทศ หากคนทำงานมีสุขภาพกายใจที่ดี ประสิทธิภาพการทำงานจะเพิ่มขึ้น องค์กร
ก็จะแข็งแกร่ง เติบโตก้าวหน้า ส่งผลให้ประเทศเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน แต่ที่ผ่านมา การเสริมสร้างสุขภาวะในองค์กรไทยส่วนใหญ่เป็นเพียงโครงการระยะสั้น ขาดทิศทางที่ชัดเจนในการพัฒนา และไม่เชื่อมโยงกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ส่วนหนึ่งเพราะยังมองไม่เห็นว่าอนาคตข้างหน้าจะต้องเผชิญอะไร จึงทำได้แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่สามารถวางแผนป้องกันล่วงหน้าได้ การคาดการณ์อนาคตจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เห็นภาพ 10 ปีข้างหน้าว่าองค์กรไทยมีความเสี่ยงจะต้องเจออะไร และต้องเตรียมการรับมืออย่างไร เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามจนแก้ไม่ทัน

สสส. จึงสนับสนุนทุนวิจัยแก่วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดทำโครงการจัดทำแผนที่นำทางและการคาดการณ์อนาคตเชิงยุทธศาสตร์ งานสร้างเสริมสุขภาวะองค์กรForesight 2035 and Strategic Roadmap: Future of Well-being Organizations” เพื่อวิเคราะห์ฉากทัศน์องค์กรสุขภาวะอีก 10 ปี ข้างหน้าของ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ องค์กรภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐ องค์กรในพระพุทธศาสนา (วัด) และมหาวิทยาลัย พร้อมนำเสนอแนวทางสร้างเสริมสุขภาวะองค์กรในระยะสั้น กลาง และยาว ที่เหมาะกับบริบทของแต่ละองค์กรเพื่อให้ทุกภาคส่วนมี Roadmap ที่ชัดเจนที่จะพาองค์กรไปสู่อนาคตที่ดีที่สุดได้

“งานวิจัยครั้งนี้มุ่งเป้าไปที่การจัดทำ Roadmap เชิงรุก เพื่อวางแผนสร้างเสริมสุขภาวะองค์กรอย่างเป็นระบบ เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งสสส. จะใช้ Roadmap นี้ เป็นแนวทางในการวางแผนงานและสนับสนุนโครงการต่างๆ โดยทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนขับเคลื่อนให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อมุ่งเป้าหมายให้คนไทยทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทำงานอย่างมีความสุขและองค์กรไทยทุกแห่งเป็น
Well-being Organizations ที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

ด้าน รศ.ดร.ณัฐสิทธิ์ เกิดศรี หัวหน้าทีมวิจัยโครงการจัดทำแผนที่นำทางและการคาดการณ์อนาคตเชิงยุทธศาสตร์ งานสร้างเสริมสุขภาวะองค์กร กล่าวถึงกระบวนการ Strategic Foresight ว่าประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลักเริ่มจาก การวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมสำคัญตามกรอบ PESTEL ครอบคลุม 6 มิติหลัก ได้แก่ การเมือง  เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และกฎหมาย เพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยเหล่านี้ จากนั้น จัด Focus Group ระดมความคิดจากผู้เชี่ยวชาญจาก 4 องค์กรเป้าหมาย ได้แก่ ภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐ องค์กรในพระพุทธศาสนา และมหาวิทยาลัยรวมกว่า 100 กว่าคน รวบรวมข้อมูลเชิงลึกแล้วนำมา วิเคราะห์ฉากทัศน์อนาคต ด้วย Scenario Planning แบบ 2×2 Matrix โดยใช้ 2 แกนหลัก แกนแรก คือ Policy Engagement การมีนโยบายและการสนับสนุนจากผู้บริหารทั้งงบประมาณ ทรัพยากร และการผลักดัน ส่วนแกนที่สอง คือ Mindset/Motivation หรือทัศนคติและแรงจูงใจของบุคลากร ว่าพวกเขาเห็นความสำคัญและพร้อมเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เมื่อนำทั้ง 2 แกนมาตัดกัน จะได้ฉากทัศน์ 4 แบบ ตั้งแต่ดีที่สุดไปจนถึงเลวร้ายที่สุด ขั้นต่อมาคือ การคัดเลือกฉากทัศน์เป้าหมาย แล้วออกแบบกลยุทธ์ว่าจะไปให้ถึงได้อย่างไร เพื่อนำไปสู่ขั้นสุดท้ายจัดทำ Strategic Roadmap หรือแผนที่นำทางเชิงกลยุทธ์ว่า หากองค์กรไทยต้องการไปให้ถึงฉากทัศน์ที่ต้องการภายในปี 2035 ต้องเริ่มทำอะไรตั้งแต่วันนี้ ทั้งในระยะสั้น 1-2 ปี ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อให้องค์กรสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงและมุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขและความยั่งยืน

รศ.ดร.ณัฐสิทธิ์ กล่าวเสริมว่า จากการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมสำคัญตามกรอบ PESTEL พบว่าทุกองค์กรต้องเผชิญกับ 2 ปัจจัยหลักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ สังคมผู้สูงอายุ ที่ทำให้แรงงานลดลงและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพพุ่งสูงขึ้น และ AI-Digital-Automation ที่เข้ามาเปลี่ยนโลกการทำงาน ทำให้ทักษะแรงงานเดิมเสี่ยงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นอกจากนี้แต่ละองค์กรยังมีปัจจัยเฉพาะที่ต้องเผชิญ เช่น ภาคเอกชนต้องรับมือกับปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ภาครัฐถูกกดดันด้วยเสถียรภาพทางการเมือง วัดมีปัญหาสิ่งแวดล้อมและกฎหมายล้าหลัง ส่วนมหาวิทยาลัยต้องเผชิญกับอัตราการว่างงาน ปัญหาสุขภาพจิต และมลพิษทางอากาศ PM2.5

ด้าน ผศ.ดร. บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าโครงการจัดทำแผนที่นำทางและการคาดการณ์อนาคตเชิงยุทธศาสตร์ งานสร้างเสริมสุขภาวะองค์กร กล่าวถึงผลการวิจัยว่า ทุกองค์กรมีโมเดลการวิเคราะห์ฉากทัศน์รูปแบบเดียวกัน โดยผสมผสานระหว่าง 2 ปัจจัย ได้แก่ นโยบายจากผู้บริหาร และทัศนคติของบุคลากร แบ่งเป็น
4 ฉากทัศน์ ได้แก่ ฉากทัศน์ที่ 1 (+/+) ฉากทัศน์ในอุดมคติ นโยบายชัด บุคลากรพร้อมร่วมมือ ฉากทัศน์ที่ 2 (-/+) นโยบายดี แต่บุคลากรไม่เห็นคุณค่าและไม่ร่วมมือ ฉากทัศน์ที่ 3 (+/-) บุคลากรพร้อม แต่นโยบายไม่ชัดขาดการสนับสนุนอย่างจริงจัง ฉากทัศน์ที่ 4 เลวร้ายที่สุด (-/-) ไม่มีนโยบายรองรับ บุคลากรก็ไม่สนใจ โดยมีผลการวิเคราะห์ฉากทัศน์ของแต่ละองค์กร ดังนี้

องค์กรภาคเอกชน 4 ฉากทัศน์ ได้แก่ 1. องค์กรสุขภาวะยั่งยืน (+/+) 2. สุขภาวะตามสั่ง (-/+)3. สุขภาวะวิ่งสู้ฟัด (+/-) 4. วังวนองค์กรแห่งปัญหา (- / -) กล่าวคือ บริษัทที่ออกแบบระบบสุขภาวะอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง จะก้าวสู่การเป็น “องค์กรที่น่าทำงานมากที่สุด” พนักงานมี Work-Life Harmony มีประสิทธิภาพการทำงานสูง และต้นทุนสุขภาพลดลง ขณะที่องค์กรที่ละเลย ย่อมเสี่ยงหลุดสู่ “วังวนแห่งปัญหา”เต็มไปด้วยบุคลากร Burnout โรค NCDs ค่ารักษาพยาบาลพุ่ง คนลาออก สูญเสียคนเก่ง

หน่วยงานภาครัฐ 4 ฉากทัศน์ ได้แก่ 1. องค์กรรัฐสุขยั่งยืน (+/+)  2. สุขภาวะเชิงนโยบาย (-/+) 3. ข้าราชการไทยหัวใจสุขภาวะ (+ / -) 4. สุขภาวะราชการล้มเหลว (- / -)  กล่าวคือ หากนโยบายและทัศนคติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ข้าราชการจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพรัฐมีภาพลักษณ์ดีและเป็นที่เชื่อมั่นของประชาชน แต่หากปล่อยปละละเลย ไม่สนับสนุนอย่างจริงจัง ประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการจะลดลง คุณภาพการให้บริการประชาชนตกต่ำ ประชาชนขาดความเชื่อมั่น ข้าราชการต้องออกก่อนเกษียณเพราะปัญหาสุขภาพ กลายเป็นหน่วยงานรัฐที่ล้มเหลว

องค์กรในพระพุทธศาสนา (วัด) 4 ฉากทัศน์ ได้แก่ 1.วัดประชาสร้างสุข (+/+) 2.วัดและสังคมอุดมนโยบาย (-/+)  3. อิทธิบาท 4 นำสร้างสุข (+ /-) 4. วัดสุขภาวะอ่อนแรง (-/-)  กล่าวคือ วัดที่ขับเคลื่อนสุขภาวะอย่างจริงจัง ไม่เพียงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแต่จะกลายเป็น “ศูนย์กลางสุขภาพชุมชน” ส่งเสริมสุขภาพกาย–ใจ
ทั้งพระสงฆ์และชาวบ้าน แต่หากไม่มีการจัดการและดูแลอย่างจริงจัง วัดจะกลายเป็นแหล่งอบายมุข พระเสพเมถุน สุขภาพย่ำแย่ อาพาธ ประชาชนเสื่อมศรัทธา

มหาวิทยาลัย 4 ฉากทัศน์ ได้แก่ 1. มหาวิทยาลัยสุขภาวะต้นแบบ (+/+) 2. วิชาสุขภาวะออนไลน์ (- /+) 3. มหาวิทยาลัยใช้ใจสร้างสุข (+ / -) 4. มหาวิทยาลัยสุขภาวะอ่อนล้า (- / -)  กล่าวคือ มหาวิทยาลัยที่สร้างระบบสนับสนุนสุขภาวะครบวงจร บุคลากรจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ผลิตบัณฑิตคุณภาพ แต่หากละเลยการสร้างเสริมสุขภาวะทั้งในเชิงนโยบายและปฏิบัติ มหาวิทยาลัยจะเต็มไปด้วยบุคลากร Burnout อัตราการป่วยด้วยโรคซึมเศร้า NCDs พุ่งสูง ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยดิ่ง ถูกตัดงบประมาณ บุคลากรถูกเลิกจ้าง กลายเป็นภาระสังคมต่อไป

“เห็นได้ชัดว่า Policy และ Mindset ต้องเดินคู่กัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ องค์กรที่มีนโยบายดีมีสวัสดิการพร้อม แต่บุคลากรไม่ซื้อ ก็จะสูญเสียทรัพยากรไปเปล่าๆ ในทางกลับกัน บุคลากรพร้อม แต่องค์กรไม่สนับสนุน ก็จะท้อแท้ Burnout และลาออกไปในที่สุด การพัฒนาจึงต้องไปด้วยกันทั้ง 2 แกน”  ผศ.ดร.บุญยิ่ง ขยายความ

ผศ.ดร. บุญยิ่ง กล่าวเพิ่มเติมว่า จากฉากทัศน์ดังกล่าว นำไปสู่การจัดทำ Strategic Roadmap ระยะสั้นภายใน 1-2 ปี โดยสรุปเป็น 10 Best Practice ที่นำไปปรับใช้ได้กับทุกฉากทัศน์และทุกองค์กรเพื่อสร้างระบบสุขภาวะที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ครอบคลุมตั้งแต่ การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การสร้าง
ความมั่นคงในอาชีพ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในองค์กร การเพิ่มขีดความสามารถและสร้างกลไกให้ความรู้ การให้ความสำคัญตั้งแต่ระดับนโยบายจากผู้บริหาร การกำหนดผู้รับผิดชอบด้านเสริมสร้างสุขภาวะที่ชัดเจน การเข้าถึงระบบสาธารณสุข นโยบายการสนับสนุนจากภาครัฐ และการขับเคลื่อนที่สอดคล้องกับแผนประเด็นยุทธศาสตร์  7+1 ของ สสส. โดยมีข้อเสนอเฉพาะที่เหมาะกับบริบทของแต่ละองค์กร เช่น องค์กรเอกชน ควรทบทวนปรับลดชั่วโมงทำงานให้เหมาะสม และมีมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับองค์กรที่ขับเคลื่อนเรื่องสุขภาวะอย่างจริงจัง ภาครัฐ ควรเพิ่มทักษะความรู้ในการทำงาน โดยเฉพาะทักษะ Digital และ AI ให้แก่ข้าราชการ พร้อมมีมาตรการจูงใจ เช่น มอบรางวัลแก่หน่วยงานต้นแบบที่สร้างระบบสุขภาวะได้ดี วัด ควรจัดทำ “ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์” เป็นกรอบปฏิบัติของพระสงฆ์ทุกระดับชั้น และพัฒนาวัดที่มีความพร้อมให้กลายเป็น “ศูนย์สุขภาพชุมชน” ขณะที่ มหาวิทยาลัย ควรจัดตั้งเครือข่ายข้อมูลสุขภาพและเครือข่ายวิจัยสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมในมหาวิทยาลัย และนำเรื่องสุขภาวะมากำหนดตัวชี้วัด Performance Assessment (PA)

ผศ.ดร. บุญยิ่ง ย้ำว่า หากไทยไม่เร่งวาง Roadmap อย่างจริงจัง องค์กรจำนวนมากอาจติดอยู่ในฉากทัศน์ที่ 2-3-4 ผลที่จะตามมาไม่ใช่เพียงจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้นหรือค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่พุ่งสูงขึ้นเท่านั้นแต่จะกระทบถึงผลิตภาพแรงงาน ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ และความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่ภาครัฐจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล หากไม่สามารถเตรียมการรับมือและเตรียมการป้องกันได้ทันเวลา ในทางกลับกัน หากทุกภาคส่วนใช้ Roadmap นี้ เป็นแผนที่นำทาง เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ขององค์กร ความเป็นไปได้ที่จะเกิดฉากทัศน์ในอุดมคติทั้ง “องค์กรสุขภาวะยั่งยืน” “องค์กรรัฐสุขยั่งยืน” “วัดประชาสร้างสุข” และ “มหาวิทยาลัยสุขภาวะต้นแบบ” จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

“อนาคต คือ ผลของการกระทำในวันนี้ การวิจัยครั้งนี้ไม่ได้ฟันธงว่าฉากทัศน์แบบไหนจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่เป็นการฉายให้เห็นภาพอนาคตที่เป็นไปได้ หากวันนี้เรายังไม่ทำอะไร ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุดก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเราร่วมมือและลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ก็สามารถพาองค์กรไปสู่ฉากทัศน์ที่ดีที่สุดได้เช่นกัน”
ผศ.ดร.บุญยิ่ง กล่าวปิดท้าย