The Next Chapter SIRIVANNAVARI

การเปิดตัวแฟล็กชิปสโตร์แห่งใหม่ของ SIRIVANNAVARI บริเวณชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่ได้เป็นเพียงงานเปิดร้านทั่วไป แต่เป็นการประกาศถึง “ปฐมบท” ใหม่ หลังแบรนด์เดินทางมากว่า 2 ทศวรรษ ภายใต้พระอัจฉริยภาพด้านศิลปะและงานออกแบบของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ผู้ทรงเป็นหัวใจของแบรนด์ตั้งแต่วันแรก จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของการเดินทางที่พร้อมแล้วและวิสัยทัศน์ที่มุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

ภายในแฟล็กชิปสโตร์แห่งนี้ ทุกองค์ประกอบได้รับการตีความอย่างประณีต เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์ ทั้งความหรูหรา ความอ่อนช้อย และพลังของแฟชั่นร่วมสมัย โดยงานออกแบบภายในที่ผสานแสง เงา พื้นผิว และลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ทำให้ร้านแห่งนี้เปรียบเสมือนแกลเลอรีที่เล่าเรื่องราวของการเดินทางยาวนานของ SIRIVANNAVARI ที่ออกแบบในสไตล์คอนเทมโพรารี เน้นความประณีตและหลากหลายมิติ สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์ผ่านวัสดุคู่ตรงข้าม ผสมผสานหินธรรมชาติในโทนสีครีมกับสเตนเลสสตีลสไตล์อินดัสเทรียล เสริมด้วยผนังกระจกกราฟิกจากพื้นถึงเพดาน เพื่อสร้างบรรยากาศที่ทันสมัยและสอดคล้องวิถีชีวิตของผู้บริโภครุ่นใหม่

การเลือกสยามพารากอน เป็นทำเลสำหรับแฟล็กชิปสโตร์ สะท้อนถึงความมั่นใจและวิสัยทัศน์ระยะยาวของแบรนด์ หลังจากเดินทางเปิด Pop Up Store ในเมืองหัวเมืองท่องเที่ยวและแฟชั่นใหญ่ ๆ อาทิ ห้างสรรพสินค้าในอิตาลี คือ รินาเชนเต (Rinascente) หรือ Lafayette ในปารีส มาแล้ว

แน่นอนว่า แฟล็กชิปสโตร์ ใหม่ SIRIVANNAVARI ณ สยามพารากอน ซึ่งเป็นศูนย์รวมของแบรนด์ลักเชอรีชั้นนำระดับโลก ตั้งแต่ Dior, Chanel, Louis Vuitton ไปจนถึง Hermès ย่อมจะทำให้ SIRIVANNAVARI ได้อยู่ในบริบทเดียวกันกับยักษ์ใหญ่เหล่านี้ ซึ่งเป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า แบรนด์พร้อมจะแข่งขันในระดับเดียวกับ Global Brand เหล่านี้

แน่นอนว่า ในเชิงกลยุทธ์ แฟล็กชิปสโตร์แห่งนี้เป็นการสร้างประสบการณ์แบรนด์ที่สมบูรณ์แบบ ทั้งการตกแต่งสโตร์ การเพิ่มไลน์สินค้าแบบครบถ้วน ท่ามกลางกลุ่มเป้าหมายหลากหลายมิติ ทั้งชนชั้นกลางบนและชั้นสูงของไทย ที่มีกำลังซื้อสูง นักท่องเที่ยวจีนและญี่ปุ่น รวมถึงนักท่องเที่ยวตะวันออกและตะวันตก ที่ชื่นชอบแบรนด์ลักเชอรีและมักเดินทางมาช็อปปิงที่นี่ นับเป็นการวาง Position ตัวเองท่ามกลางการมีทราฟฟิกคุณภาพสูงย่อมจะช่วยยกระดับการรับรู้แบรนด์จาก “แบรนด์แฟชั่นไทย” ไปสู่ “แบรนด์ลักเชอรีที่มีรากฐานจากไทย” มีมูลค่าทางการตลาดและเคียงข้างกลุ่มสินค้าที่สูงขึ้นตามไปด้วย

และเมื่อมองถึงการสร้างคอนเทนต์และการสื่อสารยุคดิจิทัล ลูกค้านักท่องเที่ยวไฮเอ็นด์กลุ่มนี้ที่มาเยือน จะกลายเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ไปโดยอัตโนมัติ เมื่อพวกเขาถ่ายรูปและแชร์ประสบการณ์บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งเป็นการโฆษณาแบบออร์แกนิกที่มีความน่าเชื่อถือสูง

สำหรับการนำเสนอสินค้าแบบครบครัน ทั้งเสื้อผ้า Ready-to-wear, เครื่องแต่งกายชิ้นพิเศษแบบ Made-to-order ที่เคยจัดแสดงในมิลานและปารีส, Essentials Edit สำหรับสวมใส่ได้ทุกวัน, เครื่องหนัง กระเป๋า รองเท้า Made in Italy, คอลเลกชัน Fine Jewelry และแอกเซสซอรีดีไซน์เฉพาะตัว รวมถึงไลฟ์สไตล์ไอเท็มจาก SIRIVANNAVARI Maison ซึ่งต้องย้ำว่า ในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์จะมีการนำเสนอคอลเลกชันสำหรับสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษได้ตลอดทั้งปี และถือเป็นการดำเนินงานในมาตรฐานระดับโลก

หนึ่งในบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตในช่วงเวลาสำคัญนี้ คือ คุณรติรส จุลชาต รองประธานบริษัท ไอริส 2005 จำกัด และผู้บริหารสูงสุดของแบรนด์ SIRIVANNAVARI ให้ข้อมูลว่า แฟล็กชิปสโตร์ใหม่นี้นับเป็นก้าวย่างสำคัญที่จะแสดงถึงศักยภาพของแบรนด์ในทศวรรษใหม่

“ก่อนหน้านี้ ผู้คนอาจเชื่อมโยงแบรนด์ SIRIVANNAVARI กับชุดราตรีโอตกูตูร์สำหรับการประกวดนางงามหรืองานแต่งงานเป็นหลัก แต่ปัจจุบันเราขยายไลน์สินค้าให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ตลอดเวลา หมายความว่า เราตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น อาทิ เรามีเสื้อผ้าสำเร็จรูป และ Essential Line จำหน่ายราคาเริ่มต้น 3,900 บาท ซึ่งเป็นเสื้อผ้าที่สามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้ แต่ยังคงความสง่างามไว้อย่างสมบูรณ์”

คำกล่าวของคุณรติรส ได้สะท้อนถึงปรัชญาที่ชัดเจนและมีความหมายของแบรนด์ ที่หมายถึง การสร้างสไตล์ของตัวเองขึ้นมา ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญมาก ๆ ของแบรนด์ลักเชอรีระดับโลก และแบรนด์ SIRIVANNAVARI ก็อยู่ในเส้นทางเดียวกันนั้นด้วย

นั่นเพราะว่า จุดขายที่ทางแบรนด์พยายามสื่อสารมาโดยตลอดคือ คาแรกเตอร์ ที่มีเรื่องราว มีความหมาย ไม่ใช่เพียงความหรูหราในเชิงวัตถุเท่านั้น อาทิ กลุ่มสินค้าประเภทเครื่องประดับที่ได้รับการตอบสนองจากลูกค้า จนมียอดขายเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปี 2020 ด้วยผลงานการนำอัญมณีมาออกแบบให้มีความหลากหลาย

“อัญมณีถือเป็นอุตสาหกรรมอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ที่สร้างรายได้เข้าประเทศจำนวนมาก โดยทักษะฝีมือและโรงงาน OEM ของไทย แบรนด์ระดับโลกยังมาจ้างให้ไทยเป็นผู้ผลิตสินค้าระดับโลกส่งออกไปขายต่างประเทศปี ๆ หนึ่งมูลค่ามหาศาล ซึ่งจากโอกาสกลุ่มนี้ เราก็มองว่า แบรนด์ SIRIVANNAVARI วางแผนจะเปิดร้านบูติกเครื่องประดับ ใจกลางเมืองขนาดใหญ่ ณ Emporium ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569

และเราเชื่อว่า SIRIVANNAVARI สามารถตอบโจทย์กลุ่มนี้ได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยมรดกทางศิลปะ ความหรูหรา ความประณีต และอัตลักษณ์เชิงวัฒนธรรมที่ไม่มีแบรนด์ใดในโลกเหมือน”

คุณรติรส ยังเน้นย้ำว่า จากนี้กลุ่มเป้าหมายใหม่ของแบรนด์ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ลูกค้าระดับไฮเอนด์ดั้งเดิม แต่จะขยายไปถึงกลุ่ม Young Luxury Consumers ที่มีความเข้าใจแฟชั่นลึกซึ้ง และเข้าใจงานออกแบบที่มีเอกลักษณ์ เป็นงานหัตถกรรมคุณภาพสูง

ด้วยเหตุผลที่ว่า “ภายใน 5 ปีจากนี้ แบรนด์เตรียมจะขยายการเปิดสาขาแฟล็กชิปสโตร์ ในตลาดต่างประเทศที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ อิตาลี ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น แทนที่จะพึ่งพาการเปิดหน้าร้านแบบ Pop up Store อีกต่อไป นั่นหมายความว่า SIRIVANNAVARI พร้อมแล้วสำหรับเจเนอเรชันใหม่ของผู้บริโภคนับจากนี้เป็นต้นไป