ท่ามกลางกระแสในสังคมเกี่ยวกับ “นมแท้–นมผง–คุณภาพนมไทย” ที่กำลังเป็นที่สนใจและสร้างความสับสนให้ผู้บริโภค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะสถาบันการศึกษาชั้นนำด้านวิชาการและงานวิจัยของประเทศ ได้เปิดเวทีเสวนาวิชาการ “From Farm to Facts : คุณภาพนมไทยพิสูจน์ได้” เพื่อคลี่คลายข้อกังวลต่อคุณภาพน้ำนมและผลิตภัณฑ์นมไทย ด้วยองค์ความรู้จากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ ตอกย้ำบทบาทของจุฬาฯ “เมื่อสังคมมีปัญหา จุฬาฯ มีให้คำตอบ” พร้อมตอบสนองต่อประเด็นด้านสุขภาพความปลอดภัยผลิตภัณฑ์ สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค ซึ่งจัดโดยคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ

ภายในงานมีการนำเสนอข้อมูลองค์ความรู้อย่างครบวงจร ตั้งแต่วิธีการเลี้ยงโคนม การจัดการฟาร์ม มาตรการควบคุมคุณภาพน้ำนมดิบในระดับต้นทาง จนถึงกระบวนการแปรรูปนมตามมาตรฐานสากล และยังให้ความรู้เรื่องวัตถุเจือปนอาหารในนม หลักการควบคุมคุณภาพเพื่อคงความปลอดภัย รวมถึงแนวทางการแสดงฉลากและข้อมูลโภชนาการ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์นมเพื่อการบริโภคด้วยความมั่นใจในคุณภาพ
ข้อเท็จจริงการผลิตนมจาก “ฟาร์มโคนม” จนผลผลิตถึงมือผู้บริโภค

รศ.น.สพ.ดร.กิตติศักดิ์ อัจฉริยะขจร ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ผู้มีประสบการณ์ด้านอุตสาหกรรมโคนมมากกว่า 35 ปี กล่าวว่า อุตสาหกรรมนมไทยอยู่ภายใต้ระบบการตรวจสอบที่เข้มงวดในทุกขั้นตอน โดยใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นมาตรฐานในการประเมินซึ่งกระบวนการดูแลเริ่มต้นตั้งแต่ฟาร์มโคนมที่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานฟาร์มที่ดี (GAP) มีสัตวแพทย์ควบคุมดูแลด้านสุขภาพสัตว์ รวมถึงความสะอาด สภาพแวดล้อม และการจัดการอาหารสัตว์ที่ปลอดภัย ก่อนน้ำนมดิบจะถูกส่งต่อไปยังศูนย์รวบรวมน้ำนมทั่วประเทศ ซึ่งเป็นจุดคัดกรองสำคัญด้านคุณภาพ
“น้ำนมทุกถังจากศูนย์วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาการเลี้ยงโคนมในเขตร้อนชื้น คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จะต้องผ่านการตรวจสอบสารตกค้างยาปฏิชีวนะและสิ่งปลอมปนอย่างละเอียด โดยเฉพาะการตรวจยาปฏิชีวนะซึ่งเป็นมาตรการสำคัญเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค หากพบการปนเปื้อนจะถูกปฏิเสธทันที และเป็นความรับผิดชอบตามระบบควบคุมคุณภาพที่เคร่งครัด ทั้งนี้ อุตสาหกรรมนมไม่สามารถเสี่ยงกับวัตถุดิบที่ไม่มีมาตรฐานได้ เนื่องจากน้ำนมที่ไม่ผ่านเกณฑ์เพียงหนึ่งถังอาจส่งผลกระทบทั้งสายการผลิต รวมถึงความเสียหายด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จึงเป็นเหตุผลที่อุตสาหกรรมนมไทยต้องดำเนินงานด้วยระบบมาตรฐานความสะอาด คุณภาพ และความปลอดภัยในระดับสากลอย่างต่อเนื่อง”
กระบวนการแปรรูปน้ำนม ทำให้ผลิตภัณฑ์นมมีหลายรูปแบบ

รศ.ดร.อินทาวุธ สรรรพวรสถิตย์ ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอาหารและกลิ่นรส กล่าวว่า หลังจากน้ำนมดิบผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพจากฟาร์มแล้ว จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูปภายในโรงงานที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์นมหลากหลายประเภท อาทิ นมสด นมพาสเจอร์ไรส์ นมสเตอริไลซ์ นมยูเอชที นมพร่องมันเนย นมผง เป็นต้น โดยหัวใจสำคัญของการผลิตอุตสาหกรรมนมคือการควบคุมรสชาติและคุณภาพให้คงที่ทุกล็อต ผ่านขั้นตอน “การปรับมาตรฐานน้ำนม” (Standardization) ซึ่งเป็นการแยกไขมันออกแล้วนำกลับมาผสมใหม่ในอัตราส่วนที่กำหนดอย่างแม่นยำ ก่อนเข้าสู่กระบวนการฆ่าเชื้อ เช่น พาสเจอร์ไรส์ หรือ UHT เพื่อความปลอดภัยและอายุการเก็บรักษาที่เหมาะสมตามลักษณะการบริโภคของผู้ใช้แต่ละกลุ่ม
ในส่วนของวัตถุเจือปนอาหาร รศ.ดร.อินทาวุธระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ที่ใช้เพื่อรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์ เช่น การทำให้เนื้อสัมผัสคงตัว ป้องกันไม่ให้แยกชั้น ลดการเกิดกลิ่นเหม็นหืน หรือช่วยให้ผลิตภัณฑ์คงสภาพตลอดอายุการเก็บ ทั้งนี้ วัตถุเจือปนที่อนุญาตให้ใช้ในนมและผลิตภัณฑ์นมต้องเป็นชนิดที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายไทยโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รวมถึงอ้างอิงมาตรฐานสากล Codex ซึ่งมีการกำหนดประเภท ปริมาณ และเงื่อนไขการใช้ไว้อย่างชัดเจนเพื่อให้ปลอดภัยต่อผู้บริโภค
“อุตสาหกรรมนมไทยดำเนินงานภายใต้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และระบบมาตรฐานความปลอดภัยที่เคร่งครัด ผู้บริโภคจึงสามารถเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับวัยและไลฟ์สไตล์ได้อย่างมั่นใจ โดยพิจารณาจากฉลากโภชนาการ วิธีการเก็บรักษา และคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์เป็นสำคัญ” รศ.ดร.อินทาวุธ เน้นย้ำ
อาการไม่สบายท้องหลังบริโภคนม ไม่ได้หมายถึง “แพ้นม” เสมอไป

รศ.พญ.พรรณทิพา ฉัตรชาตรี ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ชี้แจงประเด็นที่ได้รับความสนใจจากสังคมออนไลน์กรณีที่มีการกล่าวถึงความแตกต่างของการบริโภคผลิตภัณฑ์นมในต่างประเทศกับในประเทศไทย พร้อมอธิบายว่าอาการท้องอืดหรือไม่สบายท้องหลังดื่มนมนั้นอาจไม่ได้เกิดจาก “การแพ้นมวัว” โดยตรงเสมอไป แต่ต้องพิจารณาความแตกต่างระหว่าง “ภาวะการแพ้โปรตีนในนมวัว” และ “ภาวะย่อยน้ำตาลแลคโตสไม่ได้” ซึ่งเป็นสองภาวะที่มีสาเหตุและแนวทางจัดการที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
รศ.พญ.พรรณทิพาอธิบายว่า ภาวะการแพ้นมวัว (Cow’s Milk Allergy) เป็นปฏิกิริยาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนในนมวัว ซึ่งอาจแสดงอาการตั้งแต่ผื่นลมพิษ ผิวหนังอักเสบ ไปจนถึงอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ถ่ายมีเลือดในเด็กเล็ก โดยผู้ที่แพ้โปรตีนนมวัวจะมีอาการ ไม่ว่าจะบริโภคนมจากฟาร์มธรรมชาติ ออร์แกนิก หรือรูปแบบใดก็ตาม
ส่วน ภาวะย่อยน้ำตาลแลคโตสไม่ได้ (Lactose Intolerance) เกิดจากการที่ร่างกายผลิตเอนไซม์ “แลคเตส” ซึ่งมีหน้าที่ย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง มีแก๊ส หรือถ่ายเหลว ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ใหญ่ชาวเอเชีย เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้นร่างกายมีแนวโน้มจะสร้างเอนไซม์ดังกล่าวลดลงตามธรรมชาติ
สำหรับผู้ที่มีอาการท้องอืดหรือไม่สบายท้องหลังดื่มนม รศ.พญ.พรรณทิพาแนะนำว่าสามารถทดลองเลือกผลิตภัณฑ์นมชนิด Lactose-free ซึ่งเป็นนมวัวที่ผ่านการเติมเอนไซม์ช่วยย่อยแลคโตส หากดื่มแล้วอาการดีขึ้น แสดงว่าเป็นภาวะย่อยแลคโตสไม่ได้ ไม่ได้หมายถึงภาวะแพ้นมวัว และยังสามารถบริโภคผลิตภัณฑ์นมได้ตามปกติภายใต้รูปแบบที่เหมาะสมกับร่างกาย
จุฬาฯ ตอกย้ำผู้นำด้านวิชาการ เชื่อมงานวิจัยสู่สังคม

ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวถึงการเสวนาในครั้งนี้ว่า บทบาทของมหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่เป็นการขับเคลื่อนองค์ความรู้สู่สาธารณะ และทำหน้าที่เป็น “ศูนย์กลางข้อมูลที่เชื่อถือได้” เพื่อช่วยส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิต การเสวนาในครั้งนี้ เป็นการนำเสนอความร่วมมือของคณะทั้ง 3 คณะ ได้แก่ คณะวิทยาศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ เพื่อให้ความรู้ที่เราอยากให้ผู้บริโภคเห็นนวัตกรรมตั้งแต่ Farm (ต้นน้ำ) ถึง Consumption (ปลายน้ำ) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริงและความปลอดภัยเป็นที่สุด และมุ่งสร้างทักษะ “การรู้เท่าทันสื่อและข้อมูล” เพื่อให้ผู้บริโภครับมือกับข่าวลือ กระแสโซเชียล และความเข้าใจผิดเรื่องอาหารได้อย่างมีเหตุผล และเลือกผลิตภัณฑ์นมไทยได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
ศ.สพ.ญ.ดร.เกวลี ฉัตรดรงค์ คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ปัจจุบันมหาวิทยาลัยมีฟาร์มเลี้ยงโคนมอยู่ที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ในการศึกษาวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อผลิตผลงานวิจัย และนำไปใช้ประโยชน์จริงสู่ประชาชนในพื้นที่ โดยฟาร์มแห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับให้นิสิตเข้าไปฝึกงาน ได้ฝึกการเลี้ยงวัว การป้องกันโรค และฝึกให้นิสิตได้เห็นถึงความสำคัญของการผลิตผลิตภัณฑ์ให้ได้คุณภาพออกสู่ผู้บริโภคอย่างแท้จริง

ศ.ดร.ประณัฐ โพธิยะราช คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวเสริมว่า การเรียนรู้ทั้งหมดมาจากประสบการณ์จริง ไม่ได้เรียนในห้องเรียนอย่างเดียว คณะวิทยาศาสตร์มีโรงงานผลิตนมที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติจริง และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์จริง น้ำนมที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ผลิตขึ้นมานั้นจะนำมาที่โรงงานต้นแบบในการผลิตอาหารและเป็นผลิตภัณฑ์นม จากนั้นจึงส่งมาทดสอบคุณภาพที่ห้องแล็บของคณะวิทยาศาสตร์ การดำเนินการนี้ทำให้เห็นว่าเราสามารถพัฒนาเป็นต้นแบบ ผลิตภัณฑ์ครบ ทั้งวงจร โดยมีการทำงานร่วมกันตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์นมแปรรูป “Chula Fresh Milk” ภายใต้โครงการวิจัยของคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ มีจำหน่ายที่ตู้กดสินค้าอัตโนมัติภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 2 จุด คือ โถงชั้นล่าง อาคารจามจุรี 9 และโรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
The Business Plus บิสิเนสพลัส

