โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) กำลังกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่พบผู้ป่วยกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่เพียงแต่ผู้สูงอายุเท่านั้น ซึ่งจากการศึกษาล่าสุด พบว่า ตั้งแต่ปี 2021 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ป่วยข้อเสื่อมทั่วโลกประมาณ 375 ล้านราย โดยพบแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 1990 เป็นต้นมา
ปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนผู้ป่วยกระดูกและข้อเพิ่มขึ้น ได้แก่ การสูงวัยของประชากร การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลก และการเปลี่ยนแปลงทางระบาดวิทยาที่มีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยง เช่น อ้วนและการใช้งานร่างกายซ้ำ ๆ หรือแม้แต่คนวัยทำงานเผชิญกับความเสี่ยงเช่นกัน ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลง การนั่งอยู่กับที่นาน ๆ หรือออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น

แนวทางรักษาและการสังเกต ข้อเสื่อมหรือแค่อักเสบ ต่างกันอย่างไร ?
อาการเริ่มแรกของผู้ป่วยในโรคนี้ ต้องสังเกตถึงอาการปวดเข่าให้ดีว่า อาการปวดเข่านั้นไม่ได้หมายความว่า จะเป็น “ข้อเข่าเสื่อม” เสมอไป ซึ่งผู้ป่วยจำนวนมากมีอาการแค่ “ปวดบางท่า” เช่น เวลาลุกจากเก้าอี้ หรือเดินขึ้นบันไดแล้วเจ็บเข่า ซึ่งอาการแบบนี้อาจเป็นเพียงการอักเสบของเส้นเอ็นหรือผิวข้อ ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นข้อเสื่อม
สำหรับอาการข้อเข่าเสื่อมนั้น เกิดจากการสึกหรอของผิวข้อกระดูกอ่อน ซึ่งเมื่อหมดความลื่นไหล น้ำหล่อเลี้ยงข้อลดคุณภาพและปริมาณ ทำให้เกิดการเสียดสีที่ข้อ ปวดและอักเสบเรื้อรังตามมา หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาการเหล่านี้จะทำให้ขาโก่ง เดินลำบาก หรือแม้แต่ในรายที่เป็นมาก กระดูกจะทรุด ขาโก่ง เดินไม่ตรง และคุณภาพชีวิตลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นนาน ย่อมจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างชัดเจน และโดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน หรือขาดแคลเซียมและวิตามินดีร่วมด้วย จะยิ่งทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

“การรักษาข้อเข่าเสื่อม มีหลายขั้นตอนและจำเป็นต้องวินิจฉัยอย่างแม่นยำ เพื่อตรวจหาความรุนแรงของอาการ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นที่ผิวข้อเริ่มมีการสึกหรอบ้าง ไปจนถึงขั้นรุนแรงที่กระดูกทรุดตัว การรักษาจะมีวิธีแตกต่างกันตามระดับความเสื่อมเหล่านี้ โดยในระยะเริ่มต้น (ระดับ 1–2) แนะนำให้ใช้วิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดเป็นหลัก เช่น การปรับพฤติกรรม ลดกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง รวมถึงการออกกำลังกายแบบ low-impact เช่น ว่ายน้ำหรือปั่นจักรยาน เพื่อถนอมข้อ การทำกายภาพบำบัดเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดแรงกดทับ
ขณะเดียวกัน การฉีดไฮยาลูโรนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม จะช่วยเพิ่มความลื่นไหลในข้อ ลดการเสียดสีและบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการฉีด PRP (Platelet-Rich Plasma) ที่นำเลือดของตัวผู้ป่วยเองไปสกัดเพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อก็เป็นเทรนด์ใหม่ในปัจจุบัน ซึ่งช่วยเพิ่มการฟื้นฟูผิวข้อในระดับเล็กน้อยถึงปานกลางด้วยผลข้างเคียงต่ำ

ในกรณีที่ข้อมีการเสื่อมอย่างรุนแรงถึงระดับ 3–4 และการดูแลแบบไม่ผ่าตัดไม่ได้ผล การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม จึงจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสม โดยเทคโนโลยีปัจจุบัน เช่น หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Surgery) จะช่วยให้ผ่าตัดได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โอกาสผิดพลาดน้อยกว่า 1% เมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเดิมที่มีโอกาสคลาดเคลื่อนมากถึง 10-15% ซึ่งคุณสมบัติของหุ่นยนต์ ยังช่วยตรวจสอบความตึงของเส้นเอ็น ทำให้ข้อเทียมที่ใส่ไปมีความเหมาะสมกับขนาดและลักษณะข้อของผู้ป่วย ส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้ดี ฟื้นฟูเร็ว และลดอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัดอย่างมาก”
สัญญาณเตือน ที่ควรพบแพทย์
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงดังกล่าวข้างต้น หมออยากจะบอกว่า “ถ้าการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วพบว่า จำเป็นต้องผ่าตัด คนไข้หรือผู้ป่วย ต้องมองถึงแนวทางการรักษาว่าจะใช้วิธีรักษาแบบใดที่เหมาะกับตนเองมากที่สุด เพราะอย่างที่ทุกคนทราบดีว่า การผ่าตัดมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่การเปลี่ยนข้อเข่าเทียมบางส่วน (Partial Knee Replacement) เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อเสียหายจำกัด โดยช่วยคงเนื้อเยื่อที่ดีไว้ ฟื้นตัวเร็ว และลดความเจ็บปวดมากกว่าการผ่าตัดเปลี่ยนข้อทั้งข้าง (Total Knee Replacement) ที่ใช้ในกรณีที่ข้อได้รับความเสียหายอย่างกว้างขวางหรือมีภาวะขาโก่งรุนแรง
นอกจากเทคโนโลยีการผ่าตัดที่ล้ำหน้า การดูแลฟื้นฟูหลังผ่าตัดก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ดังเช่นที่ แผนกกายภาพบำบัดของ เอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ มีโปรแกรมฝึกทั้งการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ การยืดกล้ามเนื้อ และเทคนิคบำบัดต่าง ๆ เช่น การใช้อัลตราซาวนด์ เลเซอร์ หรือคลื่นกระแทก (Shockwave Therapy) ที่ช่วยเร่งการฟื้นฟูและลดอาการปวดอย่างได้ผล รวมถึงยังมีการกระตุ้นด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า (PMS) ซึ่งช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดการอักเสบของข้อ
หรืออีกหนึ่งแนวทางที่สำคัญ คือ การปรับพฤติกรรมที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง หลีกเลี่ยงการนั่งในท่าที่เพิ่มแรงกดต่อข้อเข่า เช่น การนั่งยอง นั่งพับเพียบ หรือการนั่งพื้นนาน ๆ รวมถึงหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง เช่น การวิ่งบนพื้นแข็ง และควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม เนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะเพิ่มแรงกดที่ข้อเข่า ซึ่งเร่งการสึกหรออย่างรวดเร็ว
แม้แต่วิธีการรับประทานอาหารเสริม เช่น คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen Peptide) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมและมีงานวิจัยสนับสนุนว่า ช่วยเสริมสร้างกระดูกอ่อนและลดการสึกหรอตามข้อได้ นอกจากนี้ การทานอาหารที่มีสารต้านการอักเสบ เช่น โอเมกา-3 และวิตามินดี ก็ช่วยลดอาการปวดและชะลอความเสื่อมของข้อได้เช่นกัน

ความเข้าใจถึงโรคข้อเข่าเสื่อมและการวินิจฉัยที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การรักษาอย่างเหมาะสม และทางโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ ให้ความสำคัญกับการประเมินอาการอย่างรอบคอบ รวมถึงใช้เครื่องมือระดับสูงในการตรวจวินิจฉัย เช่น X-ray แบบลงน้ำหนัก เพื่อดูโครงสร้างกระดูกและช่องว่างของข้อ และ MRI สำหรับตรวจสอบหมอนรองกระดูกฉีกขาดหรือเส้นเอ็นข้อเข่า หากสงสัยอาการซับซ้อนเพิ่มเติม
หากคุณเริ่มรู้สึกปวดเข่าหรือมีสัญญาณเตือนต่าง ๆ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมและการรักษาที่ตรงจุด เพื่อหลีกเลี่ยงการผ่าตัดใหญ่ในอนาคต โดยต้องย้ำว่า โรคข้อเข่าเสื่อม หากตรวจพบเร็วและเริ่มรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรก จะสามารถหลีกเลี่ยงการผ่าตัดใหญ่ได้ และสามารถชะลอการเสื่อมไม่ให้ลุกลามไปยังข้ออื่น เช่น ข้อเท้า หรือแม้แต่กระดูกสันหลัง
เพราะจากการประมาณการณ์การเพิ่มของจำนวนผู้ป่วยข้อเสื่อมทั่วโลก จนถึงปี 2050 ข้อมูลบ่งชี้ว่า จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 1,000 ล้านราย โดยเฉพาะโรคข้อเข่าและข้อสะโพกเสื่อม และในจำนวนนี้ สัดส่วนของผู้ป่วย “ผู้หญิง” จะได้รับผลกระทบมากกว่า “ผู้ชาย” ทั้งในแง่ของอัตราป่วยและความรุนแรงของอาการ
ดังนั้น การรักษาที่ตอบโจทย์ผู้ป่วยในบริบทของการแพทย์ยุคใหม่นี้ ขอให้ทุกคนสบายใจได้ เพราะโลกถูกเติมเต็มด้วยเทคโนโลยีผ่าตัดที่ล้ำสมัย พร้อมกับการดูแลฟื้นฟูที่ครบวงจร ซึ่งทางโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ พร้อมให้บริการเต็มที่ ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เฉพาะทางที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของเรา เพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาวนั่นเอง

เขียนและเรียบเรียง : รศ.พล.อ.ท.นพ. จำรูญเกียรติ ลีลเศรษฐพร แพทย์เฉพาะทางกระดูกและข้อ โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์
ติดตาม Business+ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG : https://instagram.com/businessplus.th
Youtube : https://www.youtube.com/@thebusinessplus7829
#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus #Business
The Business Plus บิสิเนสพลัส

