‘ซาฟารีเวิลด์ กรุงเทพฯ’ ถือเป็นหนึ่งในสวนสัตว์เปิดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ด้วยพื้นที่กว่า 400-480 ไร่ ภายในแบ่งออกเป็น 2 โซนหลัก คือ ซาฟารีปาร์ค และ มารีนปาร์ค ซึ่ง ซาฟารีเวิลด์ เป็นโครงการภายใต้บริษัท ซาฟารีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAFARI
ซึ่งปัจจุบันมีโครงการในเครือทั้งหมด 3 โครงการ คือ
– Safari World กรุงเทพฯ เปิดกิจการปี 2531
– Phuket FantaSea ก่อตั้งในปี 2539
– Carnival Magic ก่อตั้งในปี 2557
หากย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนเกิด COVID-19 ต้องบอกว่า ซาฟารีเวิลด์ และธุรกิจสวนสัตว์ในไทยเคยอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยราว 40 ล้านคนต่อปี ทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากการขายตั๋วเข้าชมสัตว์ รวมไปถึงตั๋วการแสดงเป็นกอบเป็นกำโดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ตที่บริษัทฯ มีธุรกิจอยู่ 2 โครงการ ซึ่ง ซาฟารีเวิลด์ มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากขายบัตรการเข้าชม ด้วยราคาตั๋วสำหรับผู้ใหญ่ราว 700-800 บาท/คน นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการขายของที่ระลึก รายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงกิจกรรมพิเศษและโชว์ต่างๆ ภายในสวนสัตว์
อย่างไรก็ตามหลังจาก COVID-19 ทำให้ต้องปิดการเข้าชมทั้ง Safari World ,Phuket FantaSea ,Carnival Magic ไปชั่วขณะ ทำให้บริษัทฯขาดรายได้ไปทันทีและได้รับผลกระทบเต็มๆในช่วงปี 2563-2564
ซึ่งหากเรามาเทียบกับธุรกิจอื่นแล้วในช่วงปิดกิจการ หรือไม่สามารถทำธุรกิจได้อาจจะสามารถลดการจ้างพนักงาน หรือลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆได้ แต่สำหรับสวนสัตว์แล้วนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะสวนสัตว์นั้นแม้จะเปิดกิจการหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย และต้นทุนอยู่ดี เพราะต้นทุนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ อย่างเช่น ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีทั้ง อาหาร , พนักงานดูแล ซึ่งต่อให้ไม่มีนักท่องเที่ยวแต่สัตว์เหล่านี้ก็ยังต้องได้รับการดูแลในทุกๆวัน
อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายในด้านค่าเสื่อมราคาจำนวนมาก นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ ซาฟารีเวิล์ด มีกำไรสุทธิลดฮวบเหลือเพียง 57 ล้านบาท ในปีแรกที่มีการแพร่ระบาด และปีต่อมาที่มีการปิดประเทศก็ประสบกับผลขาดทุนสุทธิมากถึง 656 ล้านบาท
ถึงแม้ในปี 2565 เป็นต้นมา ไทยจะเริ่มเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้ตามปกติ แต่ก็ต้องบอกว่านักท่องเที่ยวในปัจจุบันก็ยังไม่กลับไปฟื้นตัวเท่าเดิม โดยปี 2567 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยราว 35 ล้านคน (เทียบกับก่อน COVID-19 สูงถึง 40 ล้านคน) นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากโครงสร้างสังคมที่เปลี่ยนเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aged Society) จากการที่ไทยมีเด็กเกิดน้อยลง ก็ทำให้ธุรกิจสวนสัตว์ซบเซาไปด้วย
โดยในปี 2567 แม้รายได้จะพุ่งกลับมาอยู่ระดับ 2 พันล้านบาท แต่ก็ยังขาดทุนสุทธิ สาเหตุเป็นเพราะ 2 โครงการที่ภูเก็ต ทั้ง ภูเก็ตแฟนตาซี และ คาร์นิวัลเมจิก ยังขาดทุนจากการที่มีนักท่องเที่ยวกลับมาเพียง 5% เทียบกับก่อนเกิด COVID-19 ทำให้ตอนนี้ยังเปิดบริการเพียงแค่สัปดาห์ละ 3 วัน ขณะที่คาร์นิวัลเมจิก เป็นปาร์คเปิดใหม่จึงยังมีการขาดทุนจำนวนมาก
และบริษัทฯยังคงมีปัญหาเรื่องหนี้สินเรื้อรังจนทำให้ฉุดผลประกอบการทั้งกลุ่ม ทั้งหมดนี้ทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิหลายปีติดต่อกันจนทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง และประสบปัญหาหนี้สินจนทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เพิกถอนบริษัท ซาฟารีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAFARI ออกจากตลาดหุ้น มีผลตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2568
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าการทำธุรกิจสวนสัตว์นั้น มีความท้าทายหลายอย่าง ทั้งเรื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวที่ผันผวนและเป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ รวมไปถึงจำนวนการเกิดของเด็กที่ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของธุรกิจประเภทนี้ รวมไปเป็นธุรกิจที่มีข้อกำหนดหน่วยงานราชการภายในประเทศเพื่ออนุญาตนำเข้าสัตว์มายังประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่มีแข่งจำนวนมาก ไม่ใช่แค่เพียงสวนสัตว์ด้วยกัน แต่คือสถานที่ให้ความบันเทิงรูปแบบอื่นๆ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวมีตัวเลือกมากมาย
#BusinessPlus
#ธุรกิจ
#ซาฟารีเวิล์ด
#safariworld