ปฏิเสธไม่ได้ว่า Soft Power ที่ทรงพลังเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก และหลงรักเสน่ห์ของประเทศไทย นั่นก็คือ อาหารไทย และเมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวที่น่ายินดีจากการประกาศรางวัล “Asia’s 50 Best Restaurants” คือ การจัดอันดับร้านอาหารดีที่สุดในเอเชีย จากผลการคัดเลือกของผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารจำนวนมากลงคะแนนตัดสิน โดยในการจัดอันดับจาก 50 ร้าน มีร้านอาหารในไทยจำนวน 9 ร้าน และหนึ่งในนั้นสามารถคว้าอันดับ 1 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2025 ไว้ได้
Business+ ได้คัดเอา Top 5 ร้านอาหารในไทยที่ติดอันดับ มาชวนให้ทุกท่านได้ทำความรู้จักกันว่า เพราะอะไรที่ทำให้ร้านอาหารในไทยเหล่านี้ถูกยกย่องในระดับเอเชีย
1. Gaggan (อันดับที่ 1)
“Gaggan” ร้านอาหารไฟน์ไดนิง ที่นำเสนอคอนเซปต์ด้วย Progressive Indian Gastronomy ที่ผสมผสานอาหารอินเดีย เข้ากับรสชาติที่แตกต่างของไทย ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น การันตีรสชาติยอดเยี่ยมจากการได้รับยกย่องให้เป็นร้านอาหารอันดับ 1 ในเอเชียถึง 5 ครั้ง (2015, 2016, 2017, 2018 และในปี 2025) ยกระดับความหรูหราด้วยวิตถุดิบชั้นดีจากทั่วโลก ที่คัดสรรมาไว้บนจานอาหารที่ตกแต่งด้วยสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเทคนิคสุดทันสมัย
นอกจากความแปลกใหม่จากประสาทการรับรส ยังมีความพิเศษจากความคิดสร้างสรรค์ของเชฟ Gaggan Anand ที่มีลูกเล่นการกินที่ไม่ธรรมดา เช่น การให้กินด้วยมือ หรือกระทั่งการให้เลียจานอาหาร สร้างประสบการณ์ที่ได้ทั้งลิ้มรสความอร่อยและสนุกสนานไปพร้อมกัน โดยไม่ต้องยึดติดกับขนบธรรมเนียม แล้วพจญภัยไปประสบการณ์รับประทานอาหารแบบไฟน์ไดนิงที่หาได้เฉพาะที่ Gaggan
2. Nusara (อันดับที่ 6)
ร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิง ของเชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร ตั้งอยู่ย่านท่าเตียน ด้วยบรรยากาสสุดคลาสสิกทั้งจากภายนอกร้านที่มองออกไปจะเห็นวิวของวัดโพธิ์ตั้งอยู่เบื้องหน้า และภายในร้านที่ตกแต่งสไตล์ไทย เน้นโทนสีเขียว แดง และเหลือง ที่มีแรงบันดาลใจจากวัดโพธิ์ ขับส่งกลิ่นอายความเป็นไทย ในขณะเดียวกัน ก็มีความทันสมัยและหรูหรารวมกันอย่างสวยงาม
“นุสรา” ชื่อนี้มาจากชื่อของคุณยายผู้ล่วงลับของเชฟต้น ที่แห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่เชฟต้นจะมาสานต่อความอร่อยฉบับไทยตำรับโบราณ จากความทรงจำที่บันทึกรสชาติฝีมือคุณยาย และหนังสือตำราอาหารจากครัวหลวง ในรัชกาลที่ 5 ออกมาเป็น 12 คอร์สอาหาร ครบเครื่องทั้งคาวหวาน อาทิ ปลากับดอกดาหลา ยำปลาหมึก แกงปูใบชะพลูกับหมี่กรอบ ฝรั่งชมพูพันธุ์ทิพย์กับดอกกระเจี๊ยบ พร้อมด้วยเครื่องดื่มหลากชนิด โดยจะเสิร์ฟด้วยวิธีแบบไคเซกิ ที่แต่ละเมนูจะค่อย ๆ ถูกเสิร์ฟไล่เรียงตามรสชาติ ให้ประสบการณ์ทานอาหารอย่างชั้นสูง ทุกจานพิถีพิถันตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ ขั้นตอนการทำ จนถึงการจัดจาน ที่ทำให้เมนูอาหารแบบไทย ๆ ไม่จำเจ ด้วยการนำเสนออย่างโมเดิร์น ให้อรรถรสไม่ได้อยู่แค่เพียงปลายลิ้น แต่เป็นการเสพผลงานศิลปะที่ระรื่นตา ท่ามกลางบรรยากาศสุดคลาสสิก
ทั้งนี้ภายในร้านมีโต๊ะรองรับลูกค้าได้เพียง 10 คนเท่านั้น หากท่านใดสนใจต้องรีบจองไว้ล่วงหน้า เพราะคิวอาจยาวจนต้องรอข้ามเดือนกันเลยทีเดียว
3. Sühring (อันดับที่ 11)
“ซูห์ริ่ง” ร้านอาหารเยอรมันร่วมสมัย จากฝีมือสองเชฟฝาแฝด Thomas และ Mathias Sühring ที่นำเอารสชาติที่คุ้นเคยจากเยอรมันบ้านเกิด มาผสานเข้ากับรสชาติแบบเนเธอร์แลนด์ อิตาลี และไทย โดดเด่นด้วยรสชาติจัดจ้านสไตล์เยอรมัน ไม่ว่าจะเป็น หอยเชลล์กับฟักทองและสาหร่ายทะเล กุ้งมังกรกับวานิลลา ลูกพลับ และเฮเซลนัท เนื้อวากิว คาโกชิมา A5 เป็นต้น เสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มอย่างไวน์ชั้นดี เบียร์ หรือน้ำผลไม้ โดยรายการอาหารจะเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพื่อรสชาติที่น่าประทับใจ
นอกจากรื่นรมย์ไปกับรสชาติแสนอร่อย ยังสามารถพักกายพักใจไปกับบรรยากาศอันร่มรื่น มีต้นไม้เขียวขจีรายล้อม ภายในร้านตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ ให้กลิ่นอายราวกับย้อนไปในยุค 1970 หลีกหนีจากความวุ่นวายของเมืองกรุง แล้วมาสัมผัสความเงียบสงบ ในมื้ออาหารแสนพิเศษ ที่ “ซูห์ริ่ง”
4. Potong (อันดับที่ 13)
“โพทง” ร้านอาหารไทย-จีน จากฝีมือเชฟชื่อดัง เชฟแพม-พิชญา สุนทรญาณกิจ เจ้าของรางวัล Asia’s Best Female Chef Award 2024 ที่สร้างชื่อเสียงอย่างมากให้กับประเทศไทย ร้านตั้งอยู่ใจกลางเยาวราช ที่ที่มีเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมร่วมอันเก่าแก่ของไทยและจีน ซึ่งเชฟแพมเองก็เติบโตมาด้วยสภาพแวดล้อมนี้ ทั้งยังมีเชื้อสายไทย ออสเตรเลีย และจีน จึงตัดสินใจเอาอาคาร 5 ชั้น ซึ่งเคยเป็นร้านขายยาของครอบครัวมารีโนเวตใหม่เป็นร้านอาหารสุดเก๋แห่งนี้
แม้จะรีโนเวตมาจากอาคารเก่ากว่า 100 ปี แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์และไอเดียสุดทันสมัย ได้ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูมีเสน่ห์ น่าค้นหา จากการนำเสนอด้วยคอนเซปต์ ‘กาลเวลา’ ที่จะทำให้เห็นการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย บรรยากาศของร้านเน้นโทนสีแดง เขียว ตัดกันอย่างลงตัว สะดุดตาด้วยภาพเขียนลายเสือ ขับให้พื้นที่แห่งนี้ดูน่าค้นหายิ่งขึ้น มีขวดโหลยาสีชาวางเรียงรายบอกเล่าความเป็นมาของโพทง
รวมถึงการดึงเอาวัฒนธรรมของจีนโพ้นทะเลมาเล่าผ่านอาหาร ที่ชูเอกลักษณ์จาก 5 Elements หลัก ได้แก่ รสเค็มจากเกลือ, รสเปรี้ยวจากการหมักดอง, รสเผ็ดร้อนและกลิ่นหอมจากเครื่องเทศและสมุนไพรหลากหลายชนิด, เนื้อสัมผัสของวัตถุดิบ และ กลิ่น-รสชาติที่ได้จากการรมควัน รังสรรค์ออกมาเป็นเมนูสุดครีเอต อาทิ ไก่ดำ เซ็ตเป็ดย่าง กรานิต้ารสสละ เมอแรงก์บ๊วย ที่จะพาย้อนเวลาไปสัมผัสความคลาสสิกผ่านเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรม
5. Sorn (อันดับที่ 16)
หากนึกอยากทานอาหารใต้ “ศรณ์” อาจเป็นร้านถัดไปที่คุณอาจต้องเก็บเข้าลิสต์ที่ต้องไปลองสักครั้งให้ได้ เพราะอาหารทุกจานของที่นี่ทำมาจากวัตถุดิบที่ดีที่สุด ปรุงแบบโฮมเมด ใส่ใจกับทุกขั้นตอน ให้ได้รสชาติเข้มข้นกลมกล่อมตามฉบับอาหารใต้ เสิร์ฟด้วยเมนูที่ชูความใต้แท้ ๆ ไม่ว่าจะเป็น เนื้อกอและ แกงเหลือง แกงไตปลา ข้าวมันแกงกุ้ง ไอติมน้ำเต้าหู้ ฯลฯ
นี่เป็นความตั้งใจของ เชฟไอซ์-ศุภักษร จงศิริ เจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ ที่มีแพชชั่นที่อยากจะทำให้อาหารเป็นมากกว่าแค่กินแล้วอิ่มท้อง แต่ยังมองถึงความงามทางศิลป์ เชฟไอซ์มักจะใช้เวลาในการค่อย ๆ ทำแต่ละเมนูออกมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ผู้ที่ได้ลิ้มลองได้อิ่มเอมไปกับรสชาติอาหารใต้ที่หลงรัก พร้อมเสพผลงานศิลปะจานนี้ ที่จะทำให้คุณหลงใหลไปพร้อม ๆ กัน
ที่มา : Asia’s 50 Best Restaurants , BKK.EAT, Michelin Guide, ไทยรัฐออนไลน์
เขียนและเรียบเรียง : โพธิยา พาภักดี
ติดตาม Business+ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/