น้ำยาหยอดตา

น้ำยาหยอดตา กลับมาขายดีเพราะสมาร์ทโฟน

ในยุคที่สังคมให้ความสนใจกับเทคโนโลยีมากที่สุด และใช้สาตาจ้องมองอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานานมากขึ้น โดยเฉพาะหน้าจอสมาร์ทโฟน จอแทบเล็ต และคอมพิวเตอร์ ทำให้สายตาของคนในปัจจุบันเกิดปัญหาสายตามากขึ้นและเร็วขึ้น จึงเป็นโอกาสของธุรกิจยาหยอดตา

จากการสำรวจในปี 2560 พบว่า กลุ่มคนอายุน้อย มีความผิดปกติทางสายตาจากการใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ

ยาหยอดตาจึงกลายเป็นที่ต้องการในตลาดเพิ่มมากขึ้น เพื่อบรรเทาอากาศตาพร่ามั่ว และเหนื่อยล้าจากการการจ้องหน้าจอจอสมาร์ทโฟน จอแทบเล็ต และคอมพิวเตอร์

Tomod’s ร้านขายยาในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ขณะนี้ยอดขายผลิตภัณฑ์น้ำยาหยอดตาพุ่งสูงขึ้น ทำลายสิติ

เดิมน้ำยาหยอดตาจะขายได้เฉพาะกลุ่มผู้ใส่คอนแทกเลนส์เท่านั้น แต่ในปัจจุบัน กลุ่มคนทำงาน ช่วงอายุตั้งแต่ 30-50 ปี เริ่มหันมาซื้อน้ำยาหยอดตาที่เป็นสินค้าเกรดพรีเมี่ยมที่มีราคาสูงถึงขวดละ 1,500 เยน หรือประมาณ 400 บาทไทย เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปกติน้ำยาหยอดตาจะขายได้กับกลุ่มผู้ใส่คอนแทกเลนส์ เท่านั่น

ส่งผลให้ ยอดขายยาหยอดตาของร้าน Tomod’s เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 5.7% และยาหยอดตาราคาขวดละ 1,000 เยน หรือสูงกว่า มียอดขายพุ่งขึ้นถึง 60%

ส่วนตลาดยาหยอดตาทั่วญี่ปุ่นในปี 2560 มีมูลค่าประมาณ 57,600 ล้านเยน หรือประมาณ 17,274 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ถึง 7% และเติบโตถึง 44% เมื่อเทียบกับปี 2012

เหตุผลหลักก็มาจากปัญหาสายตาที่มากขึ้นเพราะการใช้งานสมาร์ทโฟนนั่นเอง ซึ่งแนวโน้มนี้มีแต่เพิ่มขึ้น ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ทำนายว่า กลุ่มที่มีปัญหาสายตาจากการใช้สมาร์ทโฟน จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของยอดขายยาหยอดตาระดับพรีเมียมอย่างต่อเนื่อง

ที่มาFuji Keizaki, asia.nikkei