ธุรกิจดิจิทัลยอดเยี่ยม

บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY เริ่มต้นจากการเป็นเพียงบริษัทผู้ให้บริการไอทีโซลูชัน หรือ System Integrated (SI) เล็ก ๆ ในตลาด จากวันนั้นถึงวันนี้ SKY กลายเป็นแบรนด์ที่ยึดครองหัวใจบริษัทชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชนมากมาย ทั้งยังสามารถนำพาองค์กรเจริญเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จนมีรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด แม้จะต้องเผชิญการแข่งขันอันดุเดือดจากคู่แข่งรายเก่ารายใหม่ที่เข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 2560 มีรายได้ถึง 539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.99% เมื่อเทียบกับรายได้ในปี 2559 และในปี 2561 นี้ ยังตั้งเป้าปั๊มรายได้ทะยานสู่ 1,000 ล้านบาท พร้อมกับติดปีก SKYICT ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้านซีเคียวริตี้ของประเทศไทยให้ได้ภายใน 3 ปี

ตามไปฟังวิถีคิด และเคล็ดลับความสำเร็จ พร้อมเส้นทางการก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งจากบทสัมภาษณ์ของ สิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) กันได้เลย

ICT

เส้นทางเดินจากจุดเริ่มต้นของ SKY ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2540 ในนามบริษัท คอน แอนด์ คอมเน็ต เทคโนโลยี่ จำกัด หรือ CCN เพื่อให้บริการด้านไอทีโซลูชัน หรือเป็นผู้รับเหมางานระบบ ก่อนจะพัฒนากิจการเรื่อยมาจนเติบใหญ่ กระทั่งในปี 2557 จึงตัดสินใจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จากนั้นอีก 3 ปีต่อมา ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY

เหตุผลสำคัญของการเปลี่ยนชื่อใหม่ในครั้งนี้ สิทธิเดช อธิบายว่า เป็นเพราะบริษัทฯ ต้องการปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์และวางจุดยืนทางการตลาดใหม่ให้สอดรับกับเทรนด์เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปและการแข่งขันที่นับวันรุนแรงมากขึ้น โดย SKY ต้องการเป็นผู้ให้บริการไอซีทีโซลูชันครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบ และติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงการวางระบบเครือข่ายไร้สาย ระบบโปรแกรมประยุกต์ รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยด้านเครือข่ายองค์กร ระบบกล้องวงจรปิด และการบริการ

แม้จะวางตัวเองเป็นผู้ให้บริการไอซีทีโซลูชันครบวงจร แต่จุดแข็งที่สร้างความแตกต่างและเป็น Backbone ที่สร้างชื่อและทำรายได้ให้ SKY เติบโตอย่างต่อนื่องมาจนถึงปัจจุบัน สิทธิเดช ย้ำว่าคือ ซีเคียวริตี้ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ถึง 80% ทีเดียว

“เราไม่ได้เป็นแค่ SI ที่รับเหมางานระบบ ICT ทั่วไป แต่เราเป็นผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญด้าน CCTV ทั้ง Physical Security และ Cyber Security สิ่งที่เราต่างจากผู้ให้บริการ CCTV รายอื่น คือ เราเป็น SI ที่มีโพรดักต์ของตัวเอง โดยมีบริษัทลูกชื่อ จีฟินน์ (ไทยแลนด์) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ เฮาส์ ที่จะช่วยอินทิเกรชัน โพรดักต์ ทั้งหมดทั้ง CCTV, Access Control และระบบไฟ Alarm ให้เข้ามาใน Command Room อันเดียวกันได้ ทั้งยังมีซอฟต์แวร์ Video Management System (VMS ) เพื่อบริหารจัดการกล้องวงจรปิดให้มีความสมาร์ตยิ่งขึ้น”

ICT

จากจุดแข็งที่โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง ทำให้ SKY เป็นที่ยอมรับของกลุ่มลูกค้ามากขึ้น กระทั่งในปีที่ผ่านมาสามารถชนะการประมูลถึง 3 งานใหญ่ด้วยกัน รวมมูลค่าเกือบ 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นคอนซอร์เตียม (Construction Contract) และโยนมาเป็น Backlog ในปี 2561 ไม่ต่ำกว่า 750 ล้านบาท

ขณะเดียวกันในปีนี้ ยังได้คว้างานใหม่ และขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาอีก 2 งาน มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ซึ่งหากได้งานมาทั้งหมด ก็จะส่งผลให้ตัวเลขรายได้ของ SKY ปี 2561 นี้เติบโตจากปีที่แล้วเกือบ 100% ทีเดียว

สำหรับกุญแจสำคัญที่ทำให้ชื่อของ SKY เป็นที่ยอมรับและมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดนั้น สิทธิเดช ฉายให้ฟังว่า เป็นผลมาจาก 2 ปัจจัย โดยปัจจัยแรกมาจากการดำเนินธุรกิจในตลาดที่มีการเติบโต (Sunrise) อย่างซีเคียวริตี้ ซึ่งมีการเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 12% ทุกปี โดยปัจจุบันมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท รวมถึงการเติบโตด้าน IoT ที่กำลังมาแรง โดยปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ 140,000-150,000 ล้านบาท และมีการเติบโต 23% ต่อปี จึงเป็นโอกาสมหาศาลให้กับบริษัท

ส่วนปัจจัยที่สอง มาจากบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากธุรกิจนี้เป็นตลาดเฉพาะต้องอาศัยบุคลากรวิศวกรที่มีความรู้และเชี่ยวชาญเฉพาะในการให้บริการลูกค้าอย่างแท้จริง ดังนั้น หากสามารถนำเสนอโซลูชันตอบโจทย์ Pain Point ลูกค้าได้ตรงจุด ลูกค้าย่อมพึงพอใจ และในที่สุดก็จะยึดครองหัวใจลูกค้าได้ในระยะยาว

แม้วันนี้ SKY จะเติบโตอย่างโดดเด่น โดยมีสัดส่วนลูกค้าราชการ 80% เอกชน 20% แต่สิทธิเดช ยอมรับว่า SKY ยังคงหยุดนิ่งไม่ได้ เพราะหากหยุด เมื่อน้ำบ่อเดิมหมด ธุรกิจก็ไปต่อไม่ได้ ขณะเดียวกันเขายังวางเป้าหมายใหญ่จะนำพา SKY ก้าวขึ้นสู่ผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงระบบ Security Infrastructure ของประเทศให้ได้ภายใน 3 ปีจากนี้

นั่นทำให้ทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจของ SKY ต่อจากนี้ไป จึงต้องบุกตลาดอย่างหนัก ทั้งการหาน่านน้ำใหม่ และบาลานซ์พอร์ตรายได้ให้สมดุล โดยต้องการปรับสัดส่วนลูกค้าเอกชนให้มากขึ้นเป็น 30% ในปี 2562 รวมถึงการขยายการให้บริการด้านการบำรุงรักษามากขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะทำให้ SKY ก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดซีเคียวริตี้เท่านั้น แต่ยังจะทำ SKY เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนแท้จริง

“ต่อไปเราจะไม่ใช่ SI ทั่ว ๆ ไป เพราะถ้าเราวางระบบกล้องวงจรปิดในบริษัทต่าง ๆ แล้ว เราจะต่อยอดไปเป็น Operation Center ที่โปรวายเซอร์วิสให้ทั้งหมด ตั้งแต่การติดตั้งกล้อง มีเจ้าหน้าที่ดูแล และโปรวายรีพอร์ตให้ทุกวัน ซึ่งสิ่งนี้จะสร้างรายได้ประจำ (รีเคอริ่ง) ให้กับเรา แต่การทำรีเคอริ่งจะเกิดไม่ได้ถ้าเราไม่มีเซอร์วิสที่แข็งแรง” สิทธิเดช ย้ำท้ายถึงเป้าหมาย