ทำไมทั่วโลกต้องใช้ Cloud!! ด้าน Hybrid cloud เติบโตต่อเนื่อง ตลาดรวมมูลค่า 131,660 ล้านเหรียญ

สำหรับเทรนด์ที่มาแรงของเทคโนโลยีในองค์กรแล้ว ปีนี้ต้องถือว่าเป็นปีแห่งธุกริจก้อนเมฆ (Cloud) เลยทีเดียว เพราะภายใต้บริบทการทำงานจากที่บ้าน รวมไปถึงการทำงานระยะไกลที่มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ กดดันให้บริษัทจำนวนมากต้องหันมาลงทุนในเทคโนโลยีก้อนเมฆ (Cloud) กันมากขึ้นเพื่อเตรียมรับกระแสของโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

ตลาดธุรกิจก้อนเมฆมีมานานแต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบ Public cloud (อย่างพวกเว็บไซต์ที่เราเข้ากัน) ซึ่งในปี 2020 มีสัดส่วนอยู่ที่ 64% ที่องค์กรทั่วโลกใช้อยู่ อีกแบบก็คือ Private cloud (อย่างพวกเว็ปไซต์ในองค์กร) มีสัดส่วนอยู่ที่ 52% ที่องค์กรทั่วโลกใช้อยู่

แต่หลังจากนี้โลกทั้งใบจะเริ่มให้ความสำคัญกับรูปแบบ Hybrid cloud (ปี 2020 มีสัดส่วนอยู่ที่ 36% ที่องค์กรทั่วโลกใช้อยู่) มากขึ้น โดยมันจะเหมือนเป็นทางเชื่อมให้กับ Public cloud และ Private cloud สามารถสื่อสารกันได้มากขึ้น อีกทั้งยังลดต้นทุนด้านคนและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน IT ให้กับบริษํทด้วย รวมไปถึงขั้นตอนอันยุ่งยากจำนวนมากที่มากับโครงสร้างพื้นฐานสมัยก่อนก็จะหายไปนั้นเอง

ซึ่งเจ้าพวกเทคโนโลยีแบบเก่าเหล่านี้เองที่เป็นอันตรายต่อข้อมูลของบริษัท โดยต้นกำเนิดของความท้าทายส่วนใหญ่เกิดจากโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิม เกิดจากการที่โครงสร้างนั้นสร้างขึ้นจากทรัพยากรที่แยกส่วนกัน (เป็นไซโล) เช่น สตอเรจ เซิร์ฟเวอร์ เวอร์ชวลไลเซชัน ระบบเน็ตเวิร์ก และระบบความปลอดภัย การออกแบบที่แยกส่วนกันนี้ทำให้การจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานของฐานข้อมูลใหม่ และชุดโครงสร้างหน่วยความจำที่จัดการไฟล์ฐานข้อมูล (database instances) ทำได้ยาก

ภายใต้สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมทำให้ระบบไอทีไม่แข็งแรง และเสี่ยงต่อการที่ระบบหยุดทำงานกระทันหัน ซึ่งสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมเหล่านี้หากเกิดการล้มเหลวเพียงจุดเดียวจะทำให้ระบบทั้งหมดหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง และความซับซ้อนนี้ทำให้ธุรกิจประสบความยุ่งยากในการบุกตลาดใหม่ ๆ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ทันสมัย และการรับมือกับความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น โครงการที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลต่าง ๆ

อย่างที่เรารู้กันว่าจากนี้ ข้อมูลสำหรับบริษัทคือ “ทองคำ” เพราะฉะนั้นคงไม่มีบริษัทไหนต้องการทำให้ ทองคำ ของตัวเองเสียหาย การมองหาโซลูชันด้านฐานข้อมูลที่มีคุณภาพสูงจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ในตอนนี้ ปัจจุบันหนึ่งในผู้นำด้านนี้และเป็นเบอร์ต้น ๆ ของประเทศไทยคือ นูทานิคซ์

โดยโซลูชันด้านฐานข้อมูลของนูทานิคซ์ทำให้การบริหารจัดการเวิร์กโหลดทั้งหมดขององค์กรง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แพลตฟอร์มการบริหารจัดการที่รวมศูนย์เป็นหนึ่งเดียว ทำงานได้ในคลิกเดียว การจัดการแบบอัตโนมัติ และมีความพร้อมใช้งานมากขึ้น นูทานิคซ์ช่วยแก้ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดจากความซับซ้อนมากมายของสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม ผ่านโครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวิร์จ (HCI) และบริการดาต้าเบสแอสอะเซอร์วิส (DBaaS) ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อมูลค่าของฐานข้อมูลในเบื้องต้นสามประการดังนี้

1.ลดระยะเวลาที่ลูกค้าใหม่รับรู้คุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการขององค์กร (Time to Value) และเพิ่มความคล่องตัวทางธุรกิจ

Nutanix Era มอบฟังก์ชัน DBaaS ที่มาพร้อมการจัดการฐานข้อมูลด้วยคลิกเดียว [จัดเตรียม, โคลน, แพทช์, รีเฟรช และสำรองข้อมูล] โดยใช้เวลาเพียงสองสามนาทีเท่านั้น นักพัฒนาซอฟต์แวร์จำเป็นต้องสร้างและทดสอบเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และต้องพึ่งพาผู้ดูแลระบบและผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล (DBAs) จัดสรรสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการสร้างและทดสอบเทคโนโลยี

นูทานิคซ์สามารถมอบความคล่องตัวที่จำเป็นต้องใช้ให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ให้สามารถใช้ฐานข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ในบางกรณี สามารถเร่งความเร็ว

ในการใช้งานเพื่อการพัฒนาและการทดสอบสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ถึง 10 เท่า และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับฐานข้อมูลสำคัญได้ถึง 5 เท่า เวลาที่ประหยัดได้นี้ช่วยให้ DBAs หันไปให้ความสำคัญกับโครงการอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับความคิดริเริ่มทางธุรกิจ มากกว่าต้องมาติดหนึบอยู่กับงานประจำทั่วไป

2.เพิ่มเวลาทำงานและมีความปลอดภัยสูงสุด

ความพร้อมใช้และความสามารถในการปรับขยายเป็นส่วนหนึ่งของ DNA ที่รวมถึงสถาปัตยกรรมแบบเว็บ-สเกลของนูทานิคซ์ ซึ่งสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ และมีระบบการกู้คืนเชิงรุก ความสามารถในการผสานการทำงานเข้าด้วยกัน ความเป็นอัตโนมัติ แอปพลิเคชันและโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัย

การเข้ารหัสข้อมูลที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน (data-at-rest) และการปิดบังฐานข้อมูล (database masking) มีรวมอยู่ในนูทานิคซ์ และพร้อมให้ใช้งานเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยโดยไม่ลดประสิทธิภาพการทำงาน

การแพทช์ฐานข้อมูลโดยอัตโนมัติและเป็นระบบ ช่วยให้มั่นใจว่าการแพทช์ทั้งหมดจะได้รับการติดตั้งใช้งานหลังจากการทดสอบ และจะไม่มีฐานข้อมูลใดต้องอยู่ในสภาพเสี่ยงต่อการโจมตีที่รู้ที่มาแล้ว และหลีกเลี่ยงการต้องหยุดระบบเนื่องจากต้องทำการแพทช์รอยรั่วที่ยังไม่ได้ทำ แม้การอัปเกรดและการสำรองส่วนประกอบต่าง ๆ ขององค์กรเป็นประจำจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะต้องแลกกับการที่ธุรกิจต้องหยุดชะงักชั่วคราวเพื่อทำการนั้น

โซลูชันด้านฐานข้อมูลของนูทานิคซ์ช่วยให้องค์กรไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์นี้ ด้วยการทำให้การดำเนินงานด้านไอทีเป็นไปด้วยความเรียบง่ายและไม่สะดุด ซึ่งช่วยให้ธุรกิจมีช่วงเวลาให้บริการมากที่สุด และช่วยให้ใช้ข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่น ความราบรื่นของการอัปเกรด การแพทช์ และการใช้ข้อมูลอย่างยืดหยุ่น เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบล่ม หมายถึงดาวน์ไทม์น้อยสำหรับอินสแตนซ์ระดับ 0 & 1 ส่งผลให้ดาวน์ไทม์ลดลงมากถึง 85% ทั้งนี้วัตถุประสงค์หลักในการบริหารจัดการฐานข้อมูล คือ การทำธุรกิจขององค์กรดำเนินไปอย่างราบรื่น

3.ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และลดค่าใช้จ่าย

หัวใจหลักของลูกค้าทุกรายคือ จะลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้อย่างไร โซลูชันด้านฐานข้อมูลของนูทานิคซ์สามารถขจัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับข้อมูลที่เป็นสำเนาที่สิ้นเปลือง ด้วยการลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้านสตอเรจ ได้มากถึง 6 เท่า ด้วยการโคลนแบบ zero-byte และการทำ

สแน็ปช็อตที่ประหยัดพื้นที่ที่ Era มีให้ สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ลงได้ถึง 2 เท่า ด้วยการรวมสภาพแวดล้อมฐานข้อมูลที่เป็นไซโลหลายรายการไว้ด้วยกันบนแพลตฟอร์มเดียวและบริหารจัดการได้ทั้งหมดโดยใช้ควาพยายามและทรัพยากรน้อยลง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อื่นอีกมากจากการบริหารจัดการที่ง่าย ด้วยการใช้เวลาในการทำงานในแต่ละวันน้อยลง รวมถึงความยืดหยุ่น (ดาวน์ไทม์ลดลง) และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้พนักงานมีผลงานมากขึ้น

โซลูชันด้านฐานข้อมูลของนูทานิคซ์มอบประโยชน์ที่เป็นจริง จับต้องได้ให้กับลูกค้า ในแง่ของความคล่องตัวมากขึ้น, time to value เร็วขึ้น และต้นทุนรวมต่ำลง ผลการศึกษาที่จัดทำโดย IDC4 ซึ่งสำรวจว่าโครงสร้างพื้นฐานของนูทานิคซ์มีประโยชน์มากน้อยเพียงใด พบว่า

1.ต้นทุนรวมลดลง 62% โดยมีระยะเวลาคืนทุน 7 เดือน ทั้งนี้ประโยชน์ที่เด่นชัดที่สุดคือ ความสามารถในการผลิตดีขึ้น ความคล่องตัวมากขึ้น และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

2.ระบบของนูทานิคซ์ลดเวลาในการจัดการได้มากกว่า 60%

3.ลดดาวน์ไทม์ที่ไม่ได้วางแผนไว้ได้ถึง 85%

4.ลูกค้าสามารถตอบสนองความต้องการทางธุรกิจใหม่ ๆ ได้อย่างคล่องตัว โดยสามารถปรับใช้การประมวลผลใหม่ได้เร็วขึ้นถึง 73% สร้างสตอเรจใหม่ได้เร็วขึ้นถึง 68% และใช้เวลาน้อยลงเกือบ 40% ในการปรับใช้ไฮเปอร์ไวเซอร์ด้วยการดำเนินงานด้านดาต้าเบสที่เรียบง่าย (อัตโนมัติ) ภายในหนึ่่งคลิก เพื่อปรับใช้ จัดการ และสนับสนุนสภาพแวดล้อมด้านดาต้าเบสทั้งหมด

ข้อมูล : นูทานิคซ์

ติดตาม Business+ ได้ที่ thebusinessplus.com
Line Business+ ได้ที่ https://lin.ee/pbIHC

#BusinessPlus #นูทานิคซ์ #cloud #Hybridcloud