“Speak Easy” รายงานผลการวิจัยทั่วโลกโดยเอเยนซีในเครือดับบลิวพีพี ได้แก่ เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน, กันตาร์ และ มายด์แชร์
ผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึงบทบาทความสำคัญของ ผู้ช่วยอัจฉริยะจากเทคโนโลยีสั่งการด้วยเสียง แบ่งออกเป็น 7 ประเภท ดังนี้
1. เสียงมีอิทธิพลกับชีวิตฉัน (Voice Matters To Me)
- ร้อยละ 59 คือ รู้สึกว่าสะดวกสบาย
- ร้อยละ 48 คือ รู้สึกว่ารวดเร็วกว่าการพิมพ์
- ร้อยละ 28 คือ รู้สึกว่าช่วยให้ทำอะไรหลายๆ เรื่องพร้อมกันได้
- ร้อยละ 57 คือ รู้สึกว่าตอบโจทย์ชีวิตมาก
- ร้อยละ 21 คือ รู้สึกว่าคือคำตอบของอนาคต
- ร้อยละ 40 คือ รู้สึกว่าเท่ และร้อยละ 34 รู้สึกว่าสนุก
2. เสียงคือผู้ช่วยคนใหม่ (Voice Is My New Buddy)
กิจกรรม 3 อันดับแรกที่กลุ่มผู้ใช้ในประเทศไทยนิยมสั่งการด้วยเสียง
- ร้อยละ 56 เพื่อค้นหาข้อมูลทางออนไลน์
- ร้อยละ 46 เพื่อสอบถามเส้นทาง
- ร้อยละ 37 เพื่อถามคำถามต่างๆ
โดยสิ่งที่น่าสังเกตคือ จากข้อมูลพบว่า กลุ่มผู้ใช้ในประเทศไทยร้อยละ 40 นิยมสั่งการด้วยเสียงเพื่อค้นหาข้อมูลท่องเที่ยว เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่ใช้ในเรื่องนี้เพียงร้อยละ 10 เท่านั้น ในขณะที่กลุ่มผู้ใช้ในประเทศจีนใช้เพื่อค้นหาข้อมูลสภาพอากาศ กลุ่มผู้ใช้ในประเทศญี่ปุ่นใช้สำหรับโน้ตข้อความและเป็นเครื่องเตือนความจำ และกลุ่มผู้ใช้ในประเทศสิงคโปร์ใช้สำหรับการวัดหรือประเมินค่าแลกเปลี่ยนเงินตรา
สำหรับด้านสถานการณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงพูด พบว่า
- ร้อยละ 41 ใช้ขณะขับรถ
- ร้อยละ 37 ใช้ขณะเร่งรีบ
- ร้อยละ 36 ใช้เพื่อช่วยประหยัดเวลาและใช้เพื่อความสนุกสนาน
- ร้อยละ 33 ใช้เมื่อไม่แน่ใจเรื่องการสะกดคำ

5 สถานการณ์ยอดฮิตที่ใช้เทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงพูด คือ ใช้เมื่ออยู่บ้าน ขณะขับรถ ขณะอยู่บนเตียง ขณะดูโทรทัศน์ และขณะออกกำลังกาย
3. เสียงทำให้ฉันหลงรัก (Voice is My New Love)
คนหลงรักผู้ช่วยเสียง และคิดว่าเสียงนี้ไม่ใช่เครื่องจักร
- โดยร้อยละ 77 คาดหวังว่าอยากให้เทคโนโลยีเสียงมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น
- ร้อยละ 68 ต้องการรู้สึกว่าตนเองพูดอยู่กับคนจริงๆ เมื่อคุยอยู่กับผู้ช่วยเสียง
- ร้อยละ 39 รู้สึกหลงรักน้ำเสียงของผู้ช่วยเสียง (Voice assistant)
4. การตระหนักในเรื่องความเป็นส่วนตัว (Privacy is Precious)
ผู้คนส่วนใหญ่ต้องการใช้เทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงพูดในขณะที่อยู่ในพื้นที่ส่วนตัว โดยเฉพาะที่บ้าน เช่น ในห้องน้ำ หรือขณะกำลังอาบน้ำ
- ร้อยละ 59 กังวลว่าจะถูกภาครัฐได้ยินข้อมูลด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งขณะที่กำลังพูดอยู่กับเทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงพูด
- ร้อยละ 63 กังวลว่าจะถูกองค์กรต่างๆ ได้ยินข้อมูลด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งขณะที่กำลังพูดอยู่กับเทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงพูด
- ร้อยละ 48 ต้องการการยืนยันว่าข้อมูลที่ผ่านทางเสียงจะเป็นความลับ
- ร้อยละ 44 ต้องการใช้เทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงพูดเมื่ออยู่เพียงลำพัง
5. มีความกล้าๆ กลัวๆ ที่จะใช้ในอนาคต (Fearful Excitement for the Future)
- ร้อยละ 87 รู้สึกว่าเทคโนโลยีช่วยจัดการชีวิตได้ดีขึ้น
- ร้อยละ 80 ใช้ซื้อสินค้าและบริการจากแหล่งต่างๆ
- ร้อยละ 70 ใช้ซื้อสินค้าเดิมซ้ำอีกครั้ง
- ร้อยละ 60 ใช้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่สนใจ
- ร้อยละ 47 ใช้เพื่อความบันเทิง อาทิ การถามคำถามที่สนุกสนาน
แม้ว่าผู้คนจะให้ความสนใจในเทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงพูดเป็นอย่างมาก แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังเป็นอุปสรรค
- โดยร้อยละ 42 ยังไม่มั่นใจกับเทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงพูด
- ร้อยละ 57 คิดว่าอาจจะใช้เทคโนโลยีนี้ในอนาคตถ้าหากสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตให้ง่ายและสะดวกขึ้น
- ร้อยละ 50 ต้องการให้เทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงพูดนี้ทำงานได้ดีกับอุปกรณ์อื่นๆ ของพวกเขาด้วย
6. เสียงคือนวัตกรรม (Voice Is the New Innovation)
จากผลสำรวจ พบว่าส่วนใหญ่ต้องการให้เทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงพูดสามารถเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน และใช้งาน
ได้อย่างเป็นรูปธรรม
- ร้อยละ 74 ใช้ควบคุมสั่งการเทคโนโลยีที่ห้องพักภายในโรงแรม
- ร้อยละ 72 ใช้สื่อสารกับร้านค้าต่างๆ
- ร้อยละ 68 ใช้สั่งรายการอาหารในภัตตาคารผ่านเสียงมากกว่าการสั่งผ่านพนักงานเสิร์ฟ
นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังบ่งชี้ว่าผู้คนคาดหวังว่าเทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงพูดจะสามารถบริหารจัดการชีวิตให้เจ้าของได้อย่างฉลาดล้ำหน้า โดยร้อยละ 45 ต้องการเทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงพูดที่รู้ใจ สามารถคาดเดาที่สิ่งที่ต้องการและให้คำตอบที่ดีกว่าเมื่อมีข้อสงสัย และร้อยละ 48 เชื่อว่าเทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงพูดจะช่วยให้คนฉลาดขึ้น อย่างไรก็ตาม มีข้อที่ควร
พึงระวังว่าอาจจะทำให้คนเกิดความขี้เกียจมากขึ้น ขาดสมาธิ และไม่สามารถอยู่กับความเงียบได้
Amazon Echo ตัวอย่าง Voice Technology จาก Amazon