5 เครื่องมือDigital Marketing 2018 ที่แบรนด์ต้องไม่พลาด

ในยุคที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งกระแสสังคม พฤติกรรมของคน รวมถึงเทรนด์ต่างๆก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นการแต่งตัว อาหาร เทคโนโลยี รวมถึงเรื่องการตลาดด้วย ซึ่งปัจจุบันการตลาดดิจิทัลถือเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำการตลาด เพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมดิจิทัลแบบเต็มตัว

จากข้อมูลของ กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล บริษัททำวิจัยเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคของครัวเรือน ในปี 2560 โฆษณาดิจิทัลมีส่วนแบ่งการตลาดถึง12.9% และคาดว่าปี 2561 จะขึ้นไปถึง 15.3% ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตของคนไทยในปัจจุบันมีมากถึง 75% โดยสื่อดั้งเดิมมีแน้วโน้มลดลง และเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในตลาดนี้ มาดู 5 เครื่องมือการตลาดดิจิทัลที่น่าสนใจในปี 2018 เพื่อสร้างยอดขายและเพิ่มคุณค่าให้กับแบรนด์

1. ครบจบในมือถือ

ปัจจุบันสมาร์ทโฟนใช้เพื่อเข้าถึงบริการต่างๆในอินเตอร์เน็ต มีผู้ใช้มากกว่า คอมพิวเตอร์ และ แท็บเล็ต หลายเท่าตัว ซึ่งควรสร้างให้สมาร์ทโฟนเป็นแบบ One Stop Sevice คือสามารถทำทุกอย่างได้โดยผ่านสมาร์ทโฟนทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่สื่อสาร สินค้า โปรโมชั่น หรือข้อมูลต่างๆเท่านั้น แต่ต้องออกแบบ Mobile App หรือ Mobile Wab ให้ลูกค้าสามารถรู้ถึงข้อมูล โปรโมชั่นของสินค้า ตลอดจนสามารถทำการสั่งซื้อ เช็คสถานะสินค้า รวมถึงการสนทนาด้วย Chat Bot ที่สามารถตอบลูกค้าได้แบบ Real time เพื่อสร้างความรู้สึกดีต่อลูกค้า หากแบรนด์ใดไม่ยอมปรับตัวเข้าสู่ Mobile App หรือ Mobile Wab ก็จะถูกลืมเลือนไปในที่สุด

2. เชื่อมต่อด้วย IoT (Internet of Things)

ในชีวิตประจำวันเราเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีมากมาย ทั้ง สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งตัว IoT จะช่วยที่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆสามารถทำงานเชื่อมต่อกันได้อย่างอัจฉริยะ ทำให้ชีวิตประจำวันมีความสะดวกสบายมากขึ้น คล้ายกับ Smart Watch มีความสามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนเพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย แต่ IoT จะเป็นการเชื่อมต่อและสั่งการกับทุกอุปกรณ์เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น ถือเป็นโอกาสที่แบรนด์จะหยิบเทคโนโลยีนี้ขึ้นมาเป็นอาวุธสำคัญในการเอาชนะใจผู้บริโภคในยุคดิจิตอลที่ชอบสะดวกสบายอย่างไม่มีขีดจำกัด

3. o2o ไม่ทำไม่ได้แล้ว คือ Online to Offline

การผสมผสานธุรกิจออนไลน์ไปยังออฟไลน์ เพราะผู้บริโภคไม่ได้อยู่แค่ในโลกออนไลน์เท่านั้น หรือ ออฟไลน์เท่านั้น แต่ใช้ชีวิตอยู่ในทั้ง 2 โลกดังนั้นการทำตลาดแค่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะไม่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทั้งหมด และเป็นการลดปัญหาเจ้าของแบรนด์ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า โดยใช้จุดแข็งของการตลาดออนไลน์ในการสร้างความน่าเชื่อถือพร้อมกับการสร้างเครือข่ายชุมชนผู้ที่สนใจ ส่วนออฟไลน์เป็นช่องทางการกระจายสินค้าสู่ลูกค้าโดยตรง และลดความกังวลของลูกค้าเพราะแบรนด์มีที่ตั้งสามารถจับต้องได้ โดย Amazon เป็น E-Commerce ยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันเริ่มทดลองโมเดล o2o เปิดร้าน สะดวกซื้อ Amazon Go โดยลูกค้าจะหยิบของแล้วสแกนสินค้าผ่าน App เมื่อได้ของครบตามต้องการแล้ว ก็เดินออกจากร้านได้เลย ใช้การหักจาก App ในมือถืออัตโนมัติ และยังมีแผนจะเปิดร้านที่เชื่อมโลกออนไลน์กับโลกจริงเพิ่มอีกด้วย

4. VR & AR

ให้ลูกค้ารู้สึกจริง เป็นเทคโนโลยี VR ใส่แว่นแล้วเห็นภาพสามมิติจำลองเสมือนจริง และ AR สามมิติในมือถือซึ่งมีต้นทุนถูกกว่า VR แต่ให้ความรู้สึกเหมือนจริงน้อยกว่าเช่นกัน แม้จะเคยเห็นเทคโนโลยีนี้ผ่านตามาบ้างซึ่งส่วนมากจะเป็นในวงการเกมและบันเทิง แต่ในปีนี้มีการใช้แพร่หลายในวงการอื่นๆเพื่อต่อยอดธุรกิจและสินค้าเพิ่มขึ้น โดยในวงการอสังหาริมทรัพย์เริ่มนำมาใช้จำลองบ้านเสมือนจริง 3D ให้ลูกค้าสามารถเข้าใจและเห็นภาพโครงการบ้านได้ชัดเจน เพื่อส่งเสริมการตัดสินใจซื้อให้มากขึ้น ซึ่งในวงการอื่นๆก็มีแนวโน้มนำ VR sหรือ AR ไปใช้เพิ่มขึ้น

5. Video content

ยังได้ไปต่อ เห็นได้ชัดเจนว่า Video ได้รับความนิยมมากกว่าการโพสต์ข้อความหรือรูปปกติ และมีอัตราความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะเป็น content ที่ไม่น่าเบื่อ สร้างอารมณ์ร่วมได้ดี สร้างการจดจำ แถมแบรนด์ยังสามารถส่งสารออกไปได้อย่างครบถ้วนด้วยเนื่องจากสามารถใส่รายละเอียดได้มากกว่าช่องทางอื่นๆ อีกทั้งในปีนี้ Facebook มีการปรับน้ำหนักให้เนื้อหาวีดีโอมากเป็นพิเศษ ยิ่งทำให้วงการดิจิทัลต้องกระตุ้นผู้บริโภคด้วยคลิปภาพเคลื่อนไหว

5 เครื่องมือการตลาดดิจิตอลนี้ ถือเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจในปี 2018 แต่ยังมีเครื่องมือการตลาดดิจิตอลอีกหลายตัวที่มีความน่าสนใจและเหมาะกับแบรนด์ในประเภทต่างๆได้นำไปเลือกใช้เพื่อส่งเสริมให้ทำการตลาดได้อย่างมีปะสิทธิภาพยิ่งขึ้น