ในยุคที่อาชีพเก่าๆ ค่อยๆ เริ่มหายไป และถูกทดแทนด้วยวิชาชีพใหม่จากกระแสธารของ Digital Disruption กำลังจะส่งผลให้เด็กไทยที่ยังหาตัวตนในความชอบของตัวเองไม่เจอต้องประสบปัญหาตกงานแบบไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่าเด็กยุคนี้มีสมาร์ทโฟนกันแทบทุกคน และมีการรับรู้ข้อมูลจากสารพัดแหล่งที่หลากหลาย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี
แต่สิ่งที่แย่คือ ความหลากหลายของข้อมูล ทำให้ตัวเด็กเริ่มขาดการโฟกัส และส่งผลให้เกิดการรับข้อมูลที่อาจจะไม่จำเป็นต่อการแสวงหาตีตัวตนและความชอบที่จะนำไปสู่อาชีพที่แท้จริงในอนาคต
ฉะนั้นเด็กไทยในยุค Digital Age จะนิ่งเฉยอีกไม่ได้ต่อไป พวกเขาต้องเริ่มค้นหาตนเองให้ไวและปรับทักษะบางประการเข้ามาเสริมให้กับตนเองมากขึ้น เช่น ภาษาอังกฤษ และการเรียนรู้ในเทคโนโลยีพื้นฐานที่ตอบโจทย์ Digital Skills
นั่นคือประเด็นของเด็กไทยยุคใหม่ที่ต้องไม่ปล่อยเวลาในชีวิตไปแบบลองผิดลองถูก…
อย่างไรก็ตาม ในยุคที่ Digital Skills คือรากฐานของ Future Jobs ก็ต้องหันมามองบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตัวคณาจารย์ หรือตัวมหาวิทยาลัยต่างๆ ว่าจะทำอย่างไรให้เกิดเป็นมาตรฐานให้เด็กมองเห็นทางเลือกในชีวิตที่ง่ายขึ้น
ผศ.มานา ปัจฉิมนันท์ รองอธิบดีฝ่ายสื่อสารการตลาดและวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่า “ภาพรวมต่อจากนี้ของสถาบันการศึกษาจะต้องปรับตัวเองให้เป็นโลกเสมือนจริงหรือจำลองสังคมแห่งวิชาชีพมาเป็นองค์ประกอบหลักในการสอน ส่วนตัวอาจารย์เองก็ต้องปรับตัวเองเป็นโค้ชมากกว่าเป็นครู พูดง่ายๆ ก็คือสูตรสำเร็จในตำราเรียนแบบเดิมๆ อาจจะต้องค่อยๆ เฟดตัวออกไป โดยโครงสร้างใหม่ในลักษณะนี้ จะส่งผลให้เด็กๆ ได้เส้นทางลัดที่ถูกต้อง ง่ายต่อการเรียนรู้และสามารถออกไปสู่โลกของอาชีพแห่งอนาคตได้อย่างแท้จริง
ยกตัวอย่าง เด็กที่เรียนบริหารธุรกิจ แทนที่เราจะสอนหลักการจัดการและค้าขายแบบเดิมๆ ก็ต้องลองปรับและปักธงความรู้ใหม่ เช่น ให้เขาเห็นเลยว่า ตอนนี้คุณต้องโฟกัสที่ e-Commerce ไปเลย ลองมาเรียนรู้การค้าขายบนแพลตฟอร์มของ อาลีบาบา หรือ ลาซาด้า ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ของเรา ลองไปดึงสินค้าโอท็อปเจ๋งๆ มาบริหารจัดการและขายไปต่างประเทศ เป็นต้น
หรือแม้แต่หลักสูตรด้านการเงิน เราลองเปลี่ยนแนวคิดมาสอนเรื่อง FinTech ดีกว่าไหม ให้เขารู้ว่า Ecosystem ตรงนี้มันเปลี่ยนโลกการเงินไปแล้ว บิทคอยน์คืออะไร สกุลเงินดิจิทัลคืออะไร บล็อกเชนคืออะไร มันจะเปลี่ยนโลกการเงินอย่างชัดเจนในอนาคต ซึ่งเราต้องสอนเรื่องแบบนี้เข้าไปให้มากขึ้น”
สิ่งเหล่านี้คือการเตรียมตัวเพื่อโลกในอีกไม่เกิน 4 ปีข้างหน้าที่อาชีพใหม่ๆ แบบที่เราอาจจะไม่เคยเห็นเช่น ไกด์นำเที่ยวในอวกาศ, ผู้จัดการความตายโลกดิจิทัล, ชาวไร่ในชุมชนเมือง, สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญการใช้ขยะ ก้าวเข้ามาแบบที่เราไม่ทันตั้งตัว
… ในยุคนี้ ถ้าทั้งตัวเด็กและสถาบันการศึกษาไทยปรับตัวไม่ทัน โอกาสพัฒนาเศรษฐกิจและประเทศไทยให้ทัดเทียมนานาประเทศ ก็ดูจะเป็นเรื่องยากในยุคโลกไร้พรมแดนเสียจริงๆ