‘ยิบอินซอย’ ส่งต่อองค์ความรู้ สู่การปรับบริบทเทคโนโลยีหลังยุค COVID-19 Total Solution Provider

‘ยิบอินซอย’ บริษัทด้าน Systems Integrator ที่ให้บริการด้าน IT ได้ครบวงจรตั้งแต่ให้คำปรึกษา พัฒนาระบบ และรับเอาต์ซอร์สงานด้าน IT มาอย่างยาวนาน ถือว่าเป็นองค์กรที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ICT ของเมืองไทยด้วยองค์ความรู้ทางเทคโนโลยี และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หลายองค์กรสามารถปรับตัวเอง และต่อสู้กับกระแส Disruption จากความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมาได้ ซึ่งความสำเร็จเหล่านี้เองที่ส่งให้ ‘ยิบอินซอย’ ได้รับรางวัล PRODUCT OF THE YEAR AWARDS 2022  กลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัล Best Tech Info Sharing

 

คุณนครินทร์ เทียนประทีป ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ยิบอินซอย จำกัด กล่าวถึงธุรกิจกับความท้าทายหลังยุค COVID-19 ว่าเกือบ 3 ปีของการรับมือการแพร่ระบาด ที่องค์กรหลายแห่งได้เปลี่ยนผ่านตัวเองสู่ระบบดิจิทัลอย่างรวดเร็วเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด แต่หลังจากนี้ เราจะยิ่งเห็นการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

 

โดยเทคโนโลยี เช่น คลาวด์ เอไอ ไอโอที วีอาร์/เออาร์ บล็อกเชน หรือเน็ตเวิร์กที่แรงและเร็วระดับซูเปอร์ฟาสต์ (Superfast) อย่าง 5G จะมีบทบาทสำคัญมาก เพื่อยกเครื่องสู่การเป็นองค์กรอัจฉริยะ (Intelligent Enterprise) โดยมีข้อมูลเป็นทรัพยากรสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพองค์กรด้านการบริหารจัดการ และกระบวนการทำงานแบบไร้รอยต่อและเป็นอัตโนมัติมากขึ้น

 

ขณะเดียวกัน การสร้างพื้นที่การทำงานแบบอัตโนมัติบนโลกออนไลน์ (Workplace Automaton) ทำให้คนยุคหลัง COVID-19 ต้องทำงานกับอุปกรณ์ที่ชาญฉลาดกระทั่งหุ่นยนต์อัตโนมัติมากขึ้น ปัญหาที่องค์กรจะต้องรับมือ คือ ช่องว่างด้านทักษะ ITระหว่างบุคลากรรุ่นเก่าและใหม่ (Talent Challenge) เช่น ทักษะด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล เอไอ เป็นต้น

 

ดังนั้น การส่งเสริมวัฒนธรรมที่ยืดหยุ่นต่อการทำงานแบบไฮบริด จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่องค์กรต้องเร่งสร้างและพัฒนาคนให้พร้อมต่อการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีที่หลากหลายมากขึ้น ตลอดจนสร้างโอกาสการเรียนรู้และการเติบโตเพื่อดึงคนที่มีศักยภาพเหล่านี้ให้อยู่กับองค์กรไปนาน ๆ

 

“ประสบการณ์ของลูกค้าจะกลายเป็นหัวข้อสำคัญที่ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงในปี 2566 มากขึ้น ด้วยนัยยะที่กว้างกว่าการจูงใจด้วยราคาสินค้า แต่หมายถึงประสบการณ์ระหว่างทาง ที่ทำให้ลูกค้าเพลิดเพลินกับสินค้าและบริการของเราตั้งแต่เริ่มการสืบค้น ขณะเลือกจับจ่ายสินค้าบริการไปจนจบขั้นตอนชำระเงิน

 

ดังนั้นการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบออฟไลน์และออนไลน์ผ่านเทคโนโลยีเด่น ๆ เช่น เอไอ บล็อกเชน การออกแบบบริการ As-a-Service การออกแบบพอร์ทัลเพื่อสนับสนุนการให้บริการลูกค้าตลอดจนบริการหลังการขาย หรือกระทั่งการสร้างโลกความจริงเสมือนผ่านเทคโนโลยีเออาร์/วีอาร์/เอ็มอาร์ (AR/VR/MR) จะต้องเป็นไปเพื่อขจัดความยุ่งยากในการดำรงชีวิตของผู้บริโภค พร้อม ๆ ไปกับการเสริมเขี้ยวเล็บทางการตลาดให้กับทางธุรกิจ” คุณนครินทร์ กล่าว

 

นอกจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ผ่านมา นับรวมถึงภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนเปลงทางภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้คนหันมาตระหนักถึงการรักษาสุขภาพของตัวเองและสุขภาพโลกมากขึ้น โดยการวางหลักการ ESG (Environment Social and Governance) ที่มีหัวใจอยู่ที่ “ความยั่งยืน” ภายใต้ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ซึ่งเติมเต็มเรื่องความถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้จะเป็นสิ่งที่สังคมเริ่มถามหา

 

และองค์กรต้องวางเป้าหมายธุรกิจให้ชัดในการใช้เทคโนโลยีไอทีมาช่วยเสริมเรื่อง ESG หรือบรรเทาผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้น เช่น การทำ ESG ในระบบซัพพลายเชน เพื่อบริหารจัดการการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งห่วงโซ่อุปทาน การพัฒนาแพลตฟอร์มด้านเอไอบนความยั่งยืน (Sustainable AI) ดังที่การ์ทเนอร์เคยทำนายไว้ว่า ในปี 2568 เอไอจะเป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานมากกว่าการทำงานโดยมนุษย์ และถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปจนถึงปี 2573 เทคโนโลยี AI จะกินสัดส่วนสูงถึง 3.5% ของการใช้พลังงานของโลกทั้งใบ

 

ซึ่งความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการทำธุรกรรม การจัดการเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลต่าง ๆ และการยืนยันความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Ownership) จะทำให้บล็อกเชน และเว็บ 3.0 ทวีความสำคัญมากขึ้นด้วยเทคนิคการจัดการแบบกระจายศูนย์ เพื่อให้การเก็บและส่งต่อข้อมูลหรือการทำงานของโปรแกรมข้ามแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ถูกแทรกแซงโดยคนที่ไม่เกี่ยวข้อง

 

ส่วนเทคโนโลยี 5G จะไม่ได้จำกัดแค่การสร้างประสบการณ์การเชื่อมต่อที่เร็วขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ต้องรองรับไอโอทีต่าง ๆ ที่มาเชื่อมต่อได้มากขึ้นด้วย รวมถึงเพิ่มความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยระดับสูงสุดสำหรับการส่งต่อข้อมูลในกระบวนการทำงานที่สำคัญ เช่น การผ่าตัดผู้ป่วยด้วยหุ่นยนต์ รวมถึงการสร้างมาตรฐานของโปรโตคอลที่เป็นสากล เพื่อให้อุปกรณ์หลากโอเอสหลายแพลตฟอร์มสามารถพูดคุยกันได้

 

4 เป้าหมายสู่องค์กรยุคดิจิทัล

 

ในปี 2566 การ์ทเนอร์ได้สรุป 4 เป้าหมาย 10 กลยุทธ์เด่นด้านเทคโนโลยี เพื่อนำพาองค์กรธุรกิจสู่ความสำเร็จยุคดิจิทัลตลอด 3 ปีข้างหน้า ได้แก่

  1. การเพิ่มประสิทธิผลให้กับการดำเนินธุรกิจ (Optimize) ผ่าน 3 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่

– Digital Immune System การสร้างภูมิคุ้มกันด้านดิจิทัลด้วยคุณสมบัติของระบบไอทีที่สามารถย่อขยายได้ (Scalable) มีความปลอดภัยสูง (Secure) และมีเสถียรภาพ (Stable)

– Applied Observability ซอฟต์แวร์ในการตรวจสอบติดตามปัญหา โดยใช้ข้อมูลร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจ การแก้ปัญหา หรือขับเคลื่อนการสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจ

– AI TRISM ในการจัดการความปลอดภัย ลดความเสี่ยง เพิ่มความเชื่อมั่นเรื่องการปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัว รวมถึงประเด็นด้านจริยธรรมต่าง ๆ

 

  1. การสร้างความยืดหยุ่น ย่อ-ขยายระบบงานได้ทันความต้องการ (Scale) ด้วย

– Industry Cloud Platforms แพลตฟอร์มคลาวด์เพื่ออุตสาหกรรม

– Platform Engineering การพัฒนาแพลตฟอร์มด้านวิศวกรรม เช่น As-a-Service ต่าง ๆ อย่าง IaaS SaaS PaaS หรือ เว็บพอร์ทัลการพัฒนาแบบบริการตนเอง (Self-Service Development Portal) เทคโนโลยี CI/CD ในการพัฒนาแอปพลิเคชันให้ใช้งานได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการลดระยะเวลาและภาระของนักพัฒนา และการส่งมอบซอฟต์แวร์ได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ยูสเซอร์ก็สามารถสร้างแอปพลิเคชันขึ้นใช้เองได้บางส่วนจาก GUI ที่นักพัฒนาได้ออกแบบไว้ให้

– Wireless-Value Realization การตระหนักเรื่องเทคโนโลยีไร้สาย โดยเฉพาะการรองรับการทำงานของอุปกรณ์เอดจ์ (Edge Devices) ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า ในปี 2569 60% ขององค์กรจะมีการใช้เทคโนโลยีไร้สายในเรื่องต่าง ๆ อย่างน้อย 5 เทคโนโลยี

 

  1. การบุกเบิกแนวทางการทำธุรกิจ เพิ่มการเข้าถึงลูกค้าและสร้างตลาดการค้าใหม่ ๆ (Pioneer) ผ่าน

– Superapps การสร้างแอปพลิเคชันให้มีฟังก์ชันที่แตกต่างหลากหลาย เพื่อรองรับการเชื่อมต่อการทำงานจากแอปพลิชันจากภายนอก ต่อยอดสู่การพัฒนาระบบนิเวศด้านไอทีสู่การให้บริการแบบเบ็ดเสร็จในแอปพลิเคชันเดียว

– Adaptive AI สำหรับการออกแบบอัลกอริทึม หรือกระบวนการเรียนรู้และแก้ไขปัญหาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนให้กับสภาพแวดล้อมด้านไอที หรือการตอบกลับแบบเรียลไทม์ต่อลูกค้าหรือผู้ใช้งานเฉพาะบุคคล เพื่อการปรับเปลี่ยนเป้าหมาย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจได้มากขึ้น

– Metaverse การผสมผสานเทคโนโลยีที่หลากหลายในการสร้างโลกความจริงเสมือน เพื่อส่งต่อผลิตภัณฑ์และบริการที่ตื่นตาและโดนใจลูกค้าได้ยิ่งกว่าเดิม

 

  1. นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจและโลกผ่าน Sustainability Technology เพื่อให้เกิดการใช้งานเทคโนโลยีหรือบริการไอที โดยที่ตัวมันเองไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเทคโนโลยีเบื้องหลังกระบวนการทำธุรกิจที่ควรนำไปสู่การพัฒนาโซลูชันและบริการด้านไอที ซึ่งลดการใช้พลังงาน หรือเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงวัฒนธรรมการทำงาน การยอมรับความแตกต่างหลากหลาย และเพิ่มความเท่าเทียมระหว่างพนักงานในมิติเชิงสังคมและบรรษัทภิบาลไปพร้อมกัน
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
Line Business+ ได้ที่ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG ได้ที่ : https://www.instagram.com/businessplus.thailand/
#Businessplus #Business+ #นิตยสารBusinessplus #ยิบอินซอย #YipInTsoi