ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual bank) ในประเทศไทยนั้น ถูกผลักดันและมีแนวคิดที่จะสนับสนุนอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ช่วงปี 2566 เพราะทาง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่าจะสร้างประสบการณ์การใช้บริการทางการเงินในรูปแบบดิจิทัลที่ดีให้กับคนไทย
และที่สำคัญคือ หากมี Virtual bank ก็จะช่วยส่งเสริมการแข่งขันในตลาดการเงินไทย ให้เหมาะสมทั้งด้านคุณภาพและด้านราคา เพราะต้องบอกว่าก่อนจะมีการตั้ง Virtual bank จะมีเพียงธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในตลาด ทำให้ระบบสถาบันการเงินไม่พัฒนาด้านเทคโนโลยี จนกระทั่งมีธุรกรรมทางการเงินดิจิทัลที่มีการพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงินที่ดีขึ้นเข้ามาโดยบริษัท Start Up ด้านการเงินต่างๆ แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมที่ดี
ดังนั้น ทาง ธปท. จึงได้สนับสนุน Virtual bank เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ดั้งเดิมมีการปรับตัว ทั้งการปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการเป็นดิจิทัลมากขึ้น หรือพัฒนาการให้บริการดิจิทัลในปัจจุบันให้ดีขึ้น จึงทำให้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน
นอกจากนี้การมีเพียงธนาคารพาณิชย์ก็จะทำให้การเข้าถึงสินเชื่อของรายย่อย หรือ SMEs ยาก ดังนั้นการมี Virtual bank จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ฝากเงิน ผู้ใช้บริการ เพราะมีเซอร์วิสที่ตอบโจทย์มากขึ้น เพราะต้องเน้นสินเชื่อที่เข้าไม่ถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อีกทั้งการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลเท่านั้น ไม่มีสาขา จึงไม่มีค่าเช่าพื้นที่ ค่าใช้จ่ายพนักงาน ดังนั้น ต้นทุนจึงต่ำกว่า สามารถให้บริการทางการเงินกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มใหม่ๆ และให้บริการได้ดีมากขึ้น
ซึ่งที่ผ่านมา ในต่างประเทศเริ่มมีการให้บริการ Virtual bank กันแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า Virtual Bank ตอนนี้ไม่มีชื่อกลางที่เรียกเหมือนกันทั้งโลก หรือพูดง่ายๆคือยังไม่มีชื่อสากล แต่เรียกแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ประเทศ เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย เรียกว่า Digital bank เกาหลีและไต้หวันเรียกว่า Internet-only bank สหราชอาณาจักรและออสเตรเลียเรียกว่า Neo bank และในฮ่องกงกับไทยเรียกว่า Virtual bank
โดยตั้งแต่ ธปท.ได้เปิดให้ขออนุญาตให้ทำ Virtual bank ก็มีหลายกลุ่มทุนต้องการทำธุรกิจนี้และยื่นขออนุญาตเข้ามา ซึ่งที่ผ่านมา ธปท.ได้ประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้งวันที่ 19 มิถุนายน 2568 และหลังจากนั้นอีก 1 ปี นั่นคือ วันที่ 19 มิถุนายน ปี 2569 จะเป็นวันที่เริ่มให้บริการได้กรณี Virtual Bank มีความพร้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งความพร้อมทั้งหมดนี้จะต้องคอยรายงานให้ ธปท.ติดตามได้อย่างใกล้ชิด เช่น การจัดตั้งบริษัทมหาชน ความพร้อมเรื่องทุนจดทะเบียนและการสนับสนุนทางการเงินจากผู้ถือหุ้น ความพร้อมในการประกอบธุรกิจตามแผนด้าน People/Process/System และการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามในการณีที่มีความจำเป็นอันสมควรมีความพร้อมไม่ครบ ทาง ธปท.สามารถพิจารณาผ่อนผันให้ได้ไม่เกิน 1 ปี
ทีนี้มาดูรายชื่อของ Virtual Bank ในไทยที่ได้รับใบอนุญาต และคาดว่าจะให้บริการได้หลังวันที่ 19 มิถุนายน ปี 2569 ตอนนี้มี 3 ราย (จากที่เฟสแรกจะให้ใบอนุญาตทั้งหมด 5 ใบ) นั่นคือ
กลุ่มที่ 1 ธนาคาร คลิกซ์ จำกัด (มหาชน) (VBCo) ซึ่งเกิดจากพันธมิตรธุรกิจ 3 กลุ่ม นั่นคือ
– ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ซึ่งสถานะปัจจุบันไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แต่คือ ธนาคารพาณิชย์ ของภาครัฐ ซึ่งปัจจุบัน กองทุน เพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ที่ 55%
– บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ซึ่งปัจจุบัน บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เป็นถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 40% โดยก่อนหน้านี้ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ได้ควบรวมกิจการกับ INTUCH นั่นจึงทำให้ GULF ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้น ADVANC และ THCOM ด้วยเช่นกัน และภายหลังเสร็จสิ้นในปัจจุบัน จึงพูดได้ว่า พันธมิตรกลุ่มนี้เป็นกลุ่มของ GULF ที่ประกอบไปด้วย GULF , ADVANC , INTUCH , THCOMนั่นเอง
– บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR อยู่ภายในเครือ ปตท. ซึ่งบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ถือหุ้นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 75%
โดยที่ก่อนหน้านี้ทั้ง 3 กลุ่มได้จัดตั้ง บริษัท ไทย ทรินิตี้ โฮลดิ้ง จำกัด (“HoldCo”) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น ณ วันจัดตั้ง ดังนี้ ADVANC 39% KTB 41% และ OR 20% และในวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ADVANC และพันธมิตรทางธุรกิจได้ร่วมกันจัดตั้ง ธนาคาร คลิกซ์ จำกัด (มหาชน) (“VBCo”) โดยให้ HoldCo เป็นผู้ถือหุ้น VBCo ในวันจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในสัดส่วน 95% ของจานวนหุ้นทั้งหมด (โดยในภายหลัง สัดส่วนการถือหุ้นโดย HoldCo จะเป็น 99.99%)
กลุ่มที่ 2 บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง (ACM Holding) เป็นบริษัทในเครือของ แอสเซนด์ มันนี่ (Ascend Money) ผู้ให้บริการ TrueMoney (ทรูมันนี่) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (CP) ร่วมกับ Ant Group บริษัทลูกของอาลีบาบา บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน
กลุ่มที่ 3 บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX ร่วมกับ WeTechnology Limited และ KakaoBank Corp โดย SCBX เดิมทีเป็น ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ปัจจุบันในเครือทำ ธุรกิจหลักด้านสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน รวมไปถึงธุรกิจธุรกิจบัตรเครดิต ขณะที่ KakaoBank เป็นผู้ให้บริการชั้นนำจากเกาหลีใต้ ส่วน WeTechnology Limited เป็นบริษัทจากจีน
จะเห็นว่าทั้ง 3 กลุ่มนั้นเกิดจากการร่วมเป็นพันธมิตรกันในหลากหลายธุรกิจ แต่ทุกกลุ่มจะต้องมีพันธมิตรที่เป็นผู้ให้บริการทางการเงินอยู่แล้ว อย่างธนาคารพาณิชย์ , บริษัททางการเงินให้บริการสินเชื่อ , หรือให้บริการบัตรเงินอิเล็คทรอนิคส์ ตัวแทนในการรับชำระค่าสินค้า และ/หรือบริการ สาเหตุเป็นเพราะการทำ Virtual bank จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญด้านการเงิน ทั้งการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านสินเชื่อ และการบริหารด้านการเงินต่างๆ นอกจากนี้ยังต้องลงทุนเทคโนโลยีขั้นสูงที่ต้องอาศัยเวลาในการพัฒนายาวนานหากต้องเริ่มต้นใหม่ ดังนั้น การร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่ทำด้านการเงิน หรือเทคโนโลยีขั้นสูงอยู่แล้วจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ถึงแม้ว่าทั้ง 3 เจ้านี้จะเป็นเจ้าแรกๆที่ให้บริการ Virtual bank ในไทยก็ตาม แต่อนาคตอาจจะมี Virtual bank เพิ่มขึ้นมาต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้มีการยื่นมาทั้งหมด 5 กลุ่ม (รวมทั้ง 3 กลุ่มที่ผ่านแล้ว) โดยอีก 2 กลุ่มที่ก่อนหน้านี้มียื่นแล้วถูกปัดตก และถอนตัวไปคือ
กลุ่ม “ซี กรุ๊ป” (Sea Group) ที่ประกอบไปด้วยพันธมิตรทั้งหมด 4 กลุ่มคือ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) , บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง หรือ BTS ที่ส่งบริษัทลูกอย่าง บริษัท วีจีไอ หรือ VGI เข้าร่วม , เครือสหพัฒน์ และ ไปรษณีย์ไทย ซึ่งมีข่าวลือว่าได้ถอนตัวไปเพราะกลุ่มลูกค้าของ BBL ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นลูกค้ารายย่อย
อีกกลุ่มคือ กลุ่ม ชัชวาลย์ เจียรวนนท์ ร่วมกับ Lightnet Group ร่วมกับ WeLab ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Virtual Bank ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอยู่แล้ว
ซึ่งอาจจะยังไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณาในแง่ใดแง่หนึ่ง ซึ่งหลักเกณฑ์การพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศกระทรวงการคลังฯ ครอบคลุมทั้งคุณสมบัติ แผนการประกอบธุรกิจ รวมถึงศักยภาพของผู้ขออนุญาตแต่ละรายในการนำเสนอบริการทางการเงินรูปแบบใหม่หรือบริการทางการเงินที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของบริการทางการเงินที่มีอยู่เดิมผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของผู้ใช้บริการทางการเงินแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะรายย่อย และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ยังไม่ได้รับบริการทางการเงินที่เพียงพอและเหมาะสมหรือที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน
ตลอดจนการสร้างประสบการณ์การใช้บริการทางการเงินที่ดีแก่ผู้ใช้บริการ และการนำเสนอนวัตกรรมและบริการทางการเงินที่ส่งเสริมการแข่งขันอย่างเหมาะสมทั้งด้านคุณภาพและด้านราคา นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงจำนวนที่เหมาะสมของธนาคารพาณิชย์รายใหม่ เพื่อช่วยกระตุ้นการแข่งขันในระบบสถาบันการเงินอันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ฝากเงิน ผู้ใช้บริการ และระบบเศรษฐกิจการเงินไทยโดยรวม
ที่มา : bot
เรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์