หนึ่งในธุรกิจที่มีคนเข้าลงทุนต่อเนื่องหลายปีที่ผ่านมาคือ ตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ หรือ Vending Machine เพราะเป็นธุรกิจที่เงินลงทุนเริ่มแรกต่ำจากพื้นที่ขนาดเล็กและใช้เงินลงทุนไม่มาก อีกทั้งยังไม่ต้องจ้างพนักงาน จึงมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่ำ เพียงแค่มี Location ที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า มีการบริหารจัดการสต็อกสินค้า การขนส่งโลจิสติกส์ที่ดี และการบริการหลังการขายที่รวดเร็วก็สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ
ข้อมูลล่าสุดในเดือนส.ค.68 จาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการในธุรกิจนี้กว่า 760 ราย ทุนจดทะเบียนรวมกว่า 5,962 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็กถึง 95% ขณะที่รายได้รวมของธุรกิจในปี 67 อยู่ที่ 10,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 34.74% จากปี 66
ซึ่งธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศรวมกว่า 619 ล้านบาท โดยประเทศที่เข้ามาลงทุนสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ฮ่องกง ลงทุน 455 ล้านบาท รองลงมา คือ หมู่เกาะเคย์แมน ลงทุน 76 ล้านบาท และออสเตรีย ลงทุน 27 ล้านบาท
ดังนั้น ธุรกิจนี้จึงถือเป็นหนึ่งในธุรกิจดาวรุ่งที่เติบโตสอดคล้องกับวิถีชีวิตยุคใหม่ ที่ผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบาย การเลือกซื้อและเข้าถึงสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงมีทางเลือกชำระเงินที่หลากหลาย
ที่ผ่านมาเราจึงได้เห็นผู้ประกอบธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งคนที่ลงทุนซื้อเครื่องเอง การเช่าเครื่อง หรือแม้กระทั่งซื้อแฟรนไชส์ ซึ่งหลักๆในตลาดที่เราคุ้นหูคุ้นตาจะมีอยู่ทั้งหมดประมาณ 5 เจ้า อัตราการเติบโตตั้งแต่ปี 2562-2567 เป็นดัง Infographic
จะเห็นว่าบริษัทที่มีการเติบโตเฉลี่ยช่วง 5 ปีสูงที่สุด คือ Forth Vending ภายใต้ บริษัท ฟอร์ท เวนดิ้ง จำกัด (เครือเดียวกับ FSMART)ผู้ให้บริการตู้หยอดเหรียญชั้นนำในประเทศไทย ‘ตู้บุญเติม’ ซึ่งปัจจุบันโมเดลธุรกิจมีการขายแฟรนไชส์ ติดตั้ง และยังเป็นผู้ให้บริการตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติอื่นๆ รวมถึง ตู้เต่าบิน
ส่วนอันดับที่ 2 คือ Medee Inter ภายใต้ บริษัท มีดี อินเตอร์ เซอร์วิส จำกัด ซึ่งโมเดลธุรกิจคือการขายตู้อัตโนมัติมีโรงงานผลิตโครงตู้ และโรงงานประกอบตู้หยอดเหรียญเป็นของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายทั้งตู้น้ำ ตู้ซักผ้า ตู้เติมน้ำมัน ตู้เติมเงิน ชำระบิล ตู้น้ำแข็ง ตู้ล้างรถ
อันดับที่ 3 Sun Vending ภายใต้บริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (SVT) ถือเป็นผู้บุกเบิกเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติในประเทศไทยมายาวนานกว่า 20 ปี ปัจจุบันให้บริการตู้หยอดเหรียญ ตู้จำหน่ายสินค้าหลากหลาย มีตู้หยอดเหรียญให้บริการมากกว่า 13,000 ตู้ ทั้งขายตู้ และให้เช่าตู้
ส่วนอันดับที่ 4-5 อัตราการเติบโต 5 ปียังเป็นเทรนด์ขาลง โดย ADVANCE VENDING ภายใต้ บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AWS เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปี 2565 มาจนถึงปี 2567 แต่ในช่วงปี 2564 นั้น รายได้ลดลงไปอย่างหนักจนทำให้ค่าเฉลี่ยการเติบโตของรายได้ยังติดลบ
ส่วนตู้ เวนดิ้งพลัส ในกลุ่ม บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (SABUY) ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้นำตลาดตู้หยอดเหรียญ ที่เติบโตอย่างมากในปี 2565 โดยมีตู้จำหน่ายน้ำมัน ตู้เครื่องดื่มร้อน ตู้จำหน่ายเครื่องดื่ม มีการติดตั้งตู้ทั้งในห้างสรรพสินค้า โรงงาน สถานศึกษา หอพัก สถานีขนส่ง สถานีบริการน้ำมัน สำนักงาน จุดกระจายและจุดโหลดสินค้า
แต่ในปี 2567 กลับประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก มีหนี้สินหมุนเวียนสูงกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน และขาดทุนสะสม 3,084 ล้านบาท ซึ่งปัญหาเกิดมาจากการด้อยค่าและการจำหน่ายเงินลงทุน, การเสียอำนาจควบคุมบริษัทย่อย ก่อให้เกิดเป็นวิกฤตสภาพคล่อง และปัญหาการผิดนัดชำระหนี้
อย่างไรก็ตามล่าสุด SABUY ได้ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ดับบลิว เอส โอ แอล จำกัด (มหาชน) หรือ WSOL เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 และมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานภายในใหม่ทั้งหมด เป็นที่น่าจับตามองต่อว่าภายหลังการปรับโครงสร้างจะเป็นอย่างไร
เพราะต้องบอกว่าหากเรามองภาพรวมแล้ว แนวโน้มการเติบโตของตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติยังคงสูงจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ในประเทศเริ่มมองเห็นช่องทางการตลาด และกระจายสินค้าผ่านช่องทางตู้ฯ มากขึ้น
อย่างไรก็ตามธุรกิจนี้จะต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง AI และระบบชำระเงินดิจิทัลมาช่วยให้บริการที่สะดวกและดึงดูดลูกค้า ดังนั้น ธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ จึงไม่เพียงเป็นทางเลือกใหม่ของการลงทุน แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของการค้าปลีกยุคดิจิทัล ที่สามารถพลิกพื้นที่เล็ก ๆ ให้กลายเป็นโอกาสใหญ่ได้จริง
ที่มา: Corpus X , DBD
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์