2 เม.ย. 2568 จุดเริ่มต้นสงครามการค้า
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ประกาศขึ้นภาษี baseline 10% จากอัตราภาษีเดิมกับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลก เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังประกาศใช้ภาษีศุลกากรต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariff ในอัตราที่แตกต่างกันกับ 60 ประเทศและดินแดนทั่วโลก เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2568 โดยสินค้านำเข้าจากไทยจะถูกภาษีนำเข้า 37%
3 เม.ย. 2568 ต่างชาติเริ่มตอบโต้
รัฐบาลจีนกล่าวประนามมาตรการภาษีของสหรัฐ พร้อมประกาศตอบโต้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ 34% เริ่มมีผลวันที่ 10 เม.ย. 2568 นี้
ในขณะเดียวกัน บรรดารัฐบาลของหลาย ๆ ชาติก็เริ่มออกมาประกาศแสดงความไม่พอใจหรือผิดหวังต่อมาตรการภาษีของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นสหภาพยุโรป แคนาดา และญี่ปุ่น
4-5 เม.ย. 2568 ชาติอาเซียนขอเจรจาสหรัฐ
ภายหลังจากการออกมาตรการภาษีของสหรัฐ หลาย ๆ ชาติก็เริ่มตบเท้าขอเข้าพบเจรจาทางการค้ากับรัฐบาลสหรัฐ รวมถึงชาติอาเซียนเช่น กัมพูชาที่พร้อมลดภาษีศุลกากรของสินค้าจากสหรัฐ ใน 19 หมวดหมู่ เหลือ 5% และเวียดนามที่เสนอว่าจะลดภาษีสินค้าสหรัฐ เหลือ 0% หากสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้
6 เม.ย. 2568 แถลงการณ์ของนายกฯ ไทย
นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ของไทย แถลงการณ์ท่าทีของไทย ต่อมาตรการภาษีของสหรัฐ โดยระบุว่าได้จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีเพื่อหารือกับภาคเอกชน รวมทั้งตัวแทนของสหรัฐถึงข้อเสนออย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
โดยสรุปข้อเสนอเชิงนโยบายได้แก่
– การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ในด้านพลังงาน อากาศยาน และ สินค้าเกษตร
– การสร้างความร่วมมือกับภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และกลุ่มอื่น
– การเจรจาเรื่องการส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ
– การลดเงื่อนไขการนำเข้าที่เป็นอุปสรรค
– การปราบปรามการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้าที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปยังสหรัฐ
7 เม.ย. 2568 ยุโรปตอบโต้
คณะกรรมาธิการยุโรปเปิดเผยว่า ได้พยายามเจรจาการค้ากับสหรัฐไปก่อนหน้านี้แต่ยังไม่มีการบรรลุข้อตกลง โดยล่าสุดเตรียมเสนอเข้าสภามาตรการขึ้นภาษี 25% สินค้านำเข้าหลายรายการจากสหรัฐเพื่อตอบโต้ทรัมป์ โดยจะแบ่งเป็นการขึ้นภาษีสองขา โดยขาแรกจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. 2568 และอีกขาเริ่มวันที่ 1 ธ.ค. 2568
8 เม.ย. 2568 รัฐบาลไทยจัดการประชุมรับมือ
นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมรับมือมาตรการภาษีของสหรัฐ ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยล่าสุดได้มีการกำชับให้ทุกกระทรวงเร่งปรับตัว เพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากมาตรการภาษีของทรัมป์
ที่มา: Reuters, Thaipbs