tiktok

สงครามชิง TikTok กำลังจะเข้มข้นขึ้น! หลัง ‘ทรัมป์’ เปิดความต้องการแรก ‘สหรัฐฯต้องถือหุ้น 50%’  

TikTok แพลตฟอร์ม Social media ที่เน้นรูปแบบวีดีโอสั้นจนโด่งดังไปทั่วโลก ถูกสั่งงดให้บริการในสหรัฐฯ ไปเมื่อวันอาทิตย์ (19 ม.ค.67) แต่ผ่านไปเพียงแค่ไม่ถึง 1 วันทางแอปพลิเคชั่นก็กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ซึ่งประเด็นนี้ยังไม่จบจะต้องมีการเจรจาครั้งใหญ่กันอีกว่า Tiktok จะสามารถให้บริการให้สหรัฐฯ แบบยั่งยืนหรือไม่ ภายใต้เงื่อนไขอะไร?

ซึ่งหาก TikTok ถูกงดให้บริการในสหรัฐฯตลอดไปจะทำให้เกิดผลกระทบโดยตรงคือ Creator ในสหรัฐฯ ที่จะไม่สามารถใช้ Tiktok เพื่อสร้างความบันเทิง อัพเดทข่าวสาร และทำธุรกิจได้อีก เพราะช่วงที่ผ่านมา TikTok กลายเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่ถูกใช้แข่งขันกับสื่อยอดนิยมของสหรัฐฯ ทั้ง Instagram และ YouTube ทำให้เป็นช่องทางของการสร้างรายได้ โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดเล็กกว่า 7 ล้านเจ้า

ทีนี้เรามาดูบ่อเกิดแห่งปัญหานี้กันว่าเกิดจากสาเหตุใด และมีทิศทางจะจบลงแบบไหน

ย้อนกลับไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ Tiktok ได้รับความนิยมสูงอย่างมากในสหรัฐฯ โดยในช่วงต้นปี 2567 มีผู้ใช้งานมากถึง 170 ล้านราย ซึ่งการเข้าถึงจำนวนผู้ใช้งานมากขนาดนี้ทำให้นักการเมืองชาวอเมริกัน (ที่ตอนนั้นมี โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดี) รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยว่า Tiktok อาจนำข้อมูลของคนอเมริกาไปใช้ในทางต่างๆ ในทางที่ไม่ดี เพราะ Tiktok นั้นถูกถือหุ้นโดยบริษัท ByteDance บริษัทเทคโนโลยีจากประเทศจีน

ซึ่งการที่มีบริษัทแม่สัญชาติจีนและเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ทำให้แอปพลิเคชัน Tiktok ถูกระแวงเรื่องการเข้าถึงข้อมูลประชากรสหรัฐฯ ไปจนถึงมีการตั้งข้อสงสัยว่า ByteDance อาจส่งข้อมูลเหล่านี้ให้กับรัฐบาลจีน เพื่อสอดแนมทางการเมือง เพราะจีนนั้นถือเป็นคู่แข่งเบอร์หนึ่งของสหรัฐฯ ดังนั้นในเดือนมีนาคม 2567 จึงได้มีการประชุมหาข้อกฎหมายที่จะมาบังคับให้บริษัทแม่ของ Tiktok ต้องขายกิจการแอปพลิเคชันให้กับสหรัฐฯ (ไม่อย่างนั้น จะถูกแบนไม่ให้มีการใช้งานในสหรัฐฯ ได้ต่อไป) เท่ากับว่าการประกาศออกมาครั้งนี้ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ใช้เหตุผลด้านความมั่นคงของชาติมาบังคับใช้กฏหมาย

โดยคำสั่งแบน Tiktok ได้รับการลงนามเป็นกฎหมายโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในเดือนเม.ย. 2567 หลังได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกพรรคเดโมแครต และรีพับลิกันในสภาคองเกรส จนกระทั่งในวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 ม.ค.2568) ศาลฎีกาสหรัฐฯ มีคำวินิจฉัยอย่างเป็นเอกฉันท์ เห็นพ้องตามกฎหมายของสหรัฐฯ ซึ่งระบุให้ไบต์แดนซ์ขายกิจการ TikTok ในสหรัฐภายในวันที่ 19 ม.ค. มิฉะนั้นจะถูกสั่งแบนทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตามทาง ByteDance ได้ยืนยันว่าจะไม่ขาย TikTok และปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์ว่าสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาของ Algorithm ของ Tiktok จดทะเบียนภายใต้ ByteDance ซึ่งอยู่ในการควบคุมด้านธุรกิจของประเทศจีน ที่มีกฏหมายห้ามขายเทคโนโลยีอ่อนไหวให้กับใครหากไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้น การซื้อขายครั้งนี้จะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลจีนก่อน จึงพูดได้ว่า “ทางรัฐบาลจีนอาจจะไม่ยอมให้ขายข้อมูลผู้ใช้งาน Algorithm และข้อมูลลับต่างๆของ Tiktok ให้ใคร”

ดังนั้นในวันที่ 19 ม.ค.68 ที่ผ่านมา Tiktok จึงได้ถูกงดให้บริการชั่วคราว แต่แล้วผ่านไปเพียงแค่วันครึ่งทางแอปพลิเคชั่นก็สามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง โดย TikTok ได้ระบุว่า การกลับมาให้บริการครั้งนี้เป็นผลมาจาก ‘ทรัมป์’ ที่ได้ออกมาประกาศว่าจะป้องกันไม่ให้แพลตฟอร์ม TikTok ต้องปิดตัว พร้อมกับยืนยันว่า TikTok จะร่วมมือกับทรัมป์เพื่อหาแนวทางแก้ไขในระยะยาว โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้แอปพลิเคชัน TikTok สามารถดำเนินการในสหรัฐฯ ได้

ซึ่งทางทรัมป์ได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มทรูธ โซเชียล (Truth Social) ว่า เมื่อเข้ารับตำแหน่งจะประกาศแนวทางบริหารทันทีเพื่อให้บริษัทต่าง ๆ ที่ช่วย TikTok กลับมาให้บริการในสหรัฐฯ ไม่ถูกดำเนินคดีในข้อหาละเมิดคำสั่งแบน

นอกจากนี้ ทรัมป์เสนอให้มีการรวมกิจการกันระหว่าง ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ TikTok และบริษัทใหม่ในสหรัฐฯ โดยที่บริษัทสหรัฐฯ จะถือหุ้น 50% และยังบอกอีกว่าภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ นั้น ทำให้ประธานาธิบดีสามารถออกคำสั่งขยายเวลากำหนดเส้นตายในการสั่งแบนกิจการได้ 90 วัน หากมีความคืบหน้าในการขายกิจการ

เป็นที่น่าจับตามองว่า ตอนนี้ทรัมป์นั้นเหมือนเป็นฮีโร่ของ TikTok แต่จริงๆ แล้วการเข้ามาช่วยเหลือหลังรับตำแหน่งครั้งนี้ต้องมีการเจรจาต่อรองกันเกิดขึ้น และแน่นอนว่า การที่ทรัมป์เป็นนักธุรกิจจะต้องหาข้อตกลงทางผลประโยชน์ให้กับสหรัฐฯ มากที่สุดอย่างแน่นอน

โดยมีกระแสข่าวออกมาว่า จีนอาจจะพิจารณาขายกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ ให้กับ Elon Musk เจ้าพ่อรถยนต์ไฟฟ้า แต่ขณะนี้ก็มีอีกหลายบริษัทที่แสดงความต้องการซื้อกิจการเช่นกัน เพราะการเข้าถือหุ้น TikTok นั้นแทบจะเรียกได้ว่าควบคุม Social Media ของสหรัฐฯ ได้เลย จากบัญชีผู้ใช้งาน 170 ล้านบัญชี เทียบกับประชากรทั้งหมดของสหรัฐฯ ที่มี 340 ล้านคน เท่ากับว่า Tiktok เข้าถึงคนสหรัฐฯ ได้ครึ่งประเทศเลยทีเดียว จนต้องลุ้นกันต่อว่าใครจะได้หุ้น Tiktok ไปครอง

ที่มา : IQ , TikTok

เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์

ติดตามผ่าน TikTok ได้ที่ : https://www.tiktok.com/@thebusinessplus

Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS

IG : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

Youtube : https://www.youtube.com/@thebusinessplus7829