The Success Story of The Month By ‘Business Plus’ ฉบับเดือนสิงหาคม 2568 จะพาผู้อ่านมาพบกับบทสัมภาษณ์สุดพิเศษจาก นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ ผู้เปลี่ยนแปลงโลกการรักษาแบบสมัยใหม่ ที่จะมาเล่าถึงทุกเรื่องราวของท่าน พร้อมกับแผนธุรกิจในอนาคตของโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ ที่ได้รับการกล่าวถึงในวงการแพทย์ระดับสากลว่าเป็น “Medical Destination for Spine & Joint Without Surgery”
The Future of Orthopedic Medicine Lives in Thailand
โรงพยาบาล เอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ โรงพยาบาลเฉพาะทาง มาตรฐานโลกของไทย
ในโลกที่วงการแพทย์แข่งขันกันด้วยเทคโนโลยีและความแม่นยำ น้อยคนนักที่จะสามารถสร้างโรงพยาบาลเฉพาะทางให้กลายเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาค ที่ผู้ป่วยเดินทางข้ามประเทศเพื่อมารักษาตนเอง โดยหนึ่งใน “ผู้นำ” ที่ทำสิ่งนี้ได้อย่างน่าทึ่ง คือ นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์
โรงพยาบาลแห่งนี้ เริ่มต้นจากแนวคิดที่เรียบง่าย คือ “การรักษาที่เน้นการฟื้นตัวไว ไม่ต้องพักฟื้นยาวของผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังและข้อ ซึ่งเป็นโมเดลที่โดดเด่นและแตกต่างเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งต้องยอมรับถึงวิสัยทัศน์อันล้ำลึกของท่านว่าได้สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะท่านได้สร้างระบบนิเวศแห่งการรักษาที่มุ่งเน้นผลลัพธ์สำหรับผู้ป่วยอย่างแท้จริง
แม้จะเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางในประเทศไทย แต่โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ ภายใต้การบริหารของ นพ.ดิตถพงษ์ ได้รับการกล่าวถึงในวงการแพทย์ระดับสากลว่าเป็น “Medical Destination for Spine & Joint Without Surgery” มีผู้ป่วยจากญี่ปุ่น จีน ตะวันออกกลาง และยุโรป เดินทางมารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนผู้ป่วยมากกว่า 100,000 เคส ที่ท่านรักษาได้สำเร็จในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 10 ปี ซึ่งความสำเร็จนี้ก็ต้องยอมรับว่า โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกในอุตสาหกรรมสุขภาพไปแล้ว
ที่น่าสนใจกว่านั้น นพ.ดิตถพงษ์ วางเป้าหมายจะขยายโมเดลโรงพยาบาลเฉพาะทางนี้ไปยังต่างประเทศ ผ่านการร่วมมือกับกลุ่มทุนสุขภาพระดับเอเชียในอนาคตอันใกล้ รวมถึงมุ่งมั่นในการสร้างโรงเรียนแพทย์และศูนย์ฝึกอบรม เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางความรู้ทางการแพทย์ (Medical Knowledge Hub) ด้านกระดูกและข้อในอนาคต
ในวันที่วงการแพทย์ทั่วโลก ต่างมองหาวิธีรักษาที่เน้นความแม่นยำได้ดีระดับโลก ชื่อของ นพ.ดิตถพงษ์ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ท่านเป็นผู้เปลี่ยนแปลงโลกการรักษาแบบสมัยใหม่คนหนึ่ง
Business+ ชวนผู้อ่านทุกท่าน มาติดตามทุกเรื่องราวของท่าน พร้อมกับแผนธุรกิจในอนาคต จาก นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล ได้เลยครับ…

จุดกำเนิดแห่งความฝัน
ต้องยอมรับว่า โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ (S Spine & Joint Hospital) เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางที่เกิดจากความฝันของ นพ.ดิตถพงษ์ ตั้งแต่สมัยยังเป็นแพทย์หนุ่มไฟแรง โดยหลังจากเขาจบการศึกษาเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง ได้ทำงานเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลขนาดใหญ่เช่นเดียวกับแพทย์ทั่วไป
แต่สิ่งที่จุดประกายให้ นายแพทย์ดิตถพงษ์ กล้าคิดติดปีกในวัยหนุ่มที่มีอายุเพียง 30 กว่าปีนั้น เกิดจากอุดมการณ์และความปรารถนาที่จะนำสิ่งที่ร่ำเรียนมาให้เกิดประโยชน์กับผู้ป่วยคนไทยอย่างดีที่สุด โดยเวลานั้น เขาเล็งเห็นว่า ประเทศไทย ยังไม่มีระบบการรักษาแบบเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังและข้อ ที่ทำให้คนไข้สามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวก และมีแผนการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการมองเห็น Pain Point จากการรักษาแบบครอบคลุมทุกโรคแบบโรงพยาบาลทั่วไป ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถให้การรักษา
ที่เป็น “ที่สุด” ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
จากการมองเห็นถึง “ข้อจำกัด” ที่เป็นปัญหาในโครงสร้างการทำงานนี้เอง เขาจึงเชื่อว่า หากสามารถสร้างสนามรบของตัวเองขึ้นมา ซึ่งมีความพร้อมในทุกมิติ ทุก ๆ ทรัพยากรจะถูกออกแบบและทุ่มเทเพื่อเป้าหมายเดียว นั่นคือ การรักษาโรคกระดูกสันหลังและข้อ ที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งความคิดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ยังไม่มีโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านนี้ในประเทศไทยเลยแม้แต่แห่งเดียว ทำให้ดูเหมือนจะเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่ และเป็นธุรกิจที่เสี่ยงไม่น้อย
เดิมพันครั้งสำคัญ
คุณหมอดิตถพงษ์ ให้เหตุผลว่า เพราะตนเองมีความเชื่อมั่นในปรัชญาที่ว่า “เราเกิดมาครั้งเดียว ควรจะทำในสิ่งที่ร่ำเรียนมาให้ดีที่สุด เพื่อคนไข้และเพื่อตัวเราเอง” ซึ่งความเชื่อมั่นในฝันของตนเองและด้วยประสบการณ์ด้านการแพทย์เฉพาะทางกระดูกสันหลังที่สั่งสมมาระดับหนึ่ง ประกอบกับมีพื้นที่พร้อมอยู่แล้ว ทำให้เขาตัดสินใจเริ่มต้น “จากศูนย์” โดยเริ่มจากการเปิดคลินิกเฉพาะทางเป็นระยะทดลองก่อน
“ตอนแรกก็ไม่กล้าทำ เพราะว่าการสร้างโรงพยาบาลต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก หลักหลายร้อยล้านบาท หรืออาจแตะพันล้านบาท ซึ่งด้วยจำนวนเงินลงทุนที่มหาศาลนี้เอง ทำให้มองว่าเป็นการเดิมพันอนาคตทางการแพทย์
ซึ่งเท่ากับการเอาอนาคตของตนเองทั้งหมด ไปผูกไว้กับความฝันที่ยังไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อนในประเทศไทย” ซึ่งถามว่า ก่อนจะเปิดโรงพยาบาล เราเตรียมตัวอย่างไร ?
คำตอบที่ได้คือ “ผมไม่มีเซอร์เวย์อะไรเลย ผมมีแต่ความฝันของผมล้วน ๆ”
ได้ฟังคำตอบนี้แล้ว ผู้อ่านอาจจะไม่เชื่อ หรือมีคำถามมากมาย เกี่ยวกับคุณหมอดิตถพงษ์ ถึงการตั้งโรงพยาบาลเฉพาะทางที่ดีที่สุดแห่งนี้
แน่นอน กองบรรณาธิการถามย้ำกับท่านว่า ทำไมจึงเชื่อแบบนั้นว่า การตั้งโรงพยาบาลไม่จำเป็นต้อง Survey ความต้องการของลูกค้า ? และก็ได้รับคำตอบว่า “ผมเชื่อว่าปัจจัยแห่งความสำเร็จ ประกอบด้วยองค์ความรู้ ทักษะความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในการรักษาคนไข้
แล้วถามว่า กว่าจะมาถึงจุดที่ทุกคนได้เห็นความสำเร็จในวันนี้ เส้นทางของผมและโรงพยาบาลฯ ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ โดยวันนี้สิ่งที่ทุกคนเห็น ส่วนใหญ่มันเป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่ในความเป็นจริง คนไม่รู้ว่าผมล้มลุกคลุกคลานมาเยอะ เรียกว่าถ้าออกสนามรบได้ก็คือบาดแผลเต็มตัว โดยช่วงปีแรกเป็นช่วงที่ยากที่สุด เพราะแนวคิดการเปิดโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังและข้อยังไม่มีในไทย คนไข้ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า โรงพยาบาลเฉพาะทางคืออะไร และจะให้บริการอย่างไร
ที่สำคัญ คนไข้ส่วนใหญ่สงสัยว่า มันคืออะไรกันแน่ การรักษาจะครอบคลุมแค่ไหนบ้าง ดังนั้น อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในช่วงแรก จึงเป็นการสร้างความเข้าใจให้กับคนทั่วไปนั่นเอง”
อย่างไรก็ตาม ผมยังโชคดีที่ในฐานะแพทย์ที่สะสมฐานคนไข้เดิมไว้ ทำให้รู้สึกว่า ไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง เพราะมี “ฐานคนไข้เก่าของเราที่เข้าใจและรู้จักหมออยู่แล้ว” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการสร้างชื่อเสียงของโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ ก็คือ “สถิติของการรักษาผู้ป่วยจำนวนสูงมากนั่นเอง” นพ.ดิตถพงษ์ กล่าวพร้อมขยายความว่า
เราเชื่อว่าถ้าผลการรักษาดี ทุกคนก็อยากบอกต่อ ผมเชื่อว่า การโฆษณาก็ยังสู้การรักษาที่ได้ผลดีไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้มากที่สุด แล้วถามว่า วัดผลอย่างไร ?
“การบอกต่อ ทุกความสำเร็จ (ผ่าตัดสมบูรณ์ คนไข้กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติภายใน 1 วัน) แก่คนรอบข้าง ผมถือว่า เราประสบความสำเร็จ อย่างที่ทางโรงพยาบาลแจ้งไว้อย่างละเอียดกับคนไข้ จนปัจจุบัน ต้องบอกว่า เรามีคนไข้ที่ walk in เข้ามาใช้บริการอย่างเนืองแน่นในแต่ละวัน”
ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่เหนือมาตรฐาน
ภายใต้การนำของ นพ.ดิตถพงษ์ ได้นำแนวทาง Non-invasive และ Minimally Invasive Treatment มาใช้เป็นหัวใจหลักของการรักษา พร้อมกับการบูรณาการ แพทย์เฉพาะทาง นักกายภาพบำบัด และนักเวชศาสตร์ฟื้นฟู ในทีมสหวิชาชีพ กว่า 100 คน นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนา โปรโตคอลการรักษาเฉพาะทาง ที่เน้นการฟื้นตัวไว ไม่ต้องพักฟื้นยาว และลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย ซึ่งถือเป็นโมเดลที่โดดเด่นและแตกต่างจากโรงพยาบาลทั่วไป
การนำเทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery – MIS) มาใช้ ส่งผลให้ปริมาณผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และยังได้รับการยอมรับผ่านรางวัลต่าง ๆ มากมาย นำมาซึ่งความน่าเชื่อถือของโรงพยาบาลอย่างสม่ำเสมอ ที่มาพร้อมกับคำบอกเล่าเชิงบวกจากผู้ป่วย ซึ่งข้อดีของการผ่าตัดแบบนี้ เป็นเทคนิคสมัยใหม่ วัตถุประสงค์คือ เน้นลดการบาดเจ็บจากการผ่าตัด ลดระยะเวลาพักฟื้น และให้ผลลัพธ์จากการรักษาสามารถวัดได้ชัดเจน โดย นพ.ดิตถพงษ์ เผยว่า “จุดเด่นการผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้ช่วยให้คนไข้ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลหลายวัน ไม่ต้องมีแผลเยอะ ซึ่งส่งผลให้บาดเจ็บน้อยกว่า โอกาสติดเชื้อก็น้อยกว่า”
นอกจากนี้ ยังช่วยลดการเสียเลือดได้อย่างน่าอัศจรรย์ บางรายสามารถทำการรักษาโดยที่แทบไม่ต้องให้เลือดเลย ซึ่งส่งผลให้ระยะพักฟื้นสั้นลงอย่างชัดเจน ทำให้กว่า 95% ของผู้ป่วย สามารถกลับบ้านได้ภายใน 1 วัน ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบจะหาไม่ได้จากที่อื่นในปัจจุบัน
คำกล่าวของนพ.ดิตถพงษ์ ถือเป็นวิสัยทัศน์แห่งการบุกเบิกในพื้นที่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดยแทนที่ท่านจะเดินตามรอยโรงพยาบาลทั่วไป ที่เน้นจำนวนเตียงหรือการรักษาครอบคลุมทุกโรค แต่ที่นี่กลับเลือกการรักษาแบบการโฟกัส เน้นที่ผลลัพธ์ ผ่านการใช้นวัตกรรมที่มีความแม่นยำและประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อการรักษากระดูกสันหลังโดยเฉพาะ เช่น การออกแบบเตียงผ่าตัดและอุปกรณ์เฉพาะด้านกระดูกสันหลังเท่านั้น หรือแม้แต่การมีเครื่อง MRI และ X-ray ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับการวินิจฉัยด้านนี้โดยตรง
“ข้อดีของการเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง เราสามารถทุ่มเทในจุดเดียวได้อย่างเต็มที่ เช่น เตียงผ่าตัดสำหรับผู้ป่วยกระดูกสันหลังโดยเฉพาะ หรือเครื่อง MRI ที่สามารถยืนได้ เพื่อให้เห็นรอยโรคได้ชัดเจนยิ่งขึ้น” หรือแม้แต่การให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคอย่างถูกต้องก่อน จึงจะเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
และอีกสิ่งที่นอกจากบุคลากรแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางแล้ว เขายังให้ความสำคัญกับทีมบุคลากรทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทีมพยาบาลที่เป็น “ผู้ช่วยมือหนึ่ง” ในกระบวนการรักษา โดยเปรียบเปรยว่า หมอก็คือวิศวกร ส่วนพยาบาลก็คือ “ผู้รับเหมาที่ทำให้แผนงานสำเร็จได้จริง” เขาเชื่อว่า “จุดแข็ง” ไม่ใช่การมีแพทย์ที่เก่งอย่างเดียว พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ในการช่วยผ่าตัดและดูแลรักษา จนมีความเชี่ยวชาญระดับสเปเชียลลิสต์ ก็คือ Mindset ในการทำงานของที่นี่ เพราะทั้งหมดคือ การทำงานเป็นทีมเวิร์ก”
ก้าวสู่ระดับ World Master แห่งศิลปะของการรักษา
เหตุผลที่โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ ได้รับการยกย่องว่า “The Best” จากลูกค้าทั่วโลก เกิดจากหลาย ๆ องค์ประกอบ เริ่มจากจุดขายแรก คือ ความเป็นผู้นำการรักษาแผลเล็ก หรือแม้แต่การรักษาให้ครอบคลุมทุกอาการเจ็บป่วย หมายความว่า เมื่อพบว่าผู้ป่วยมักมีอาการปวดข้อและเข่าเสื่อมร่วมด้วย ทางโรงพยาบาลฯ จะตัดสินใจขยายขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมและครบวงจรมากขึ้น ซึ่งผลพลอยได้ คือ ทำให้ผู้ป่วยสามารถมารักษาได้ในที่เดียวจบ รวมถึงการเปิดแผนกกายภาพบำบัดเพื่อการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ด้วยมาตรฐานการรักษาที่เป็นเลิศและผลลัพธ์ที่น่าทึ่งนี้เอง ทำให้ชื่อเสียงของโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ กระจายออกไปไกลกว่าแค่ในประเทศไทย จนผู้ป่วยจากนานาชาติเริ่มหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
“โดยปกติก็จะมีกลุ่มของคนไข้ที่อยู่ใน CLMV เป็นหลักส่วนหนึ่ง แล้วก็มีของอาหรับมาส่วนหนึ่ง อาทิ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต โอมาน มาจากยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือจากจีนก็มี จนปัจจุบันเราจึงเป็นโรงพยาบาลอินเตอร์แนชันนัลเฉพาะด้านกระดูกและข้อไปแล้ว”
นพ.ดิตถพงษ์ ให้เหตุผลที่เริ่มมีลูกค้านานาชาติสนใจใช้บริการเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องว่า เกิดจากจุดแข็งด้านบริการทางการแพทย์ของประเทศไทยที่มีศักยภาพสูง ซึ่งมองว่า “การรักษาพยาบาลในประเทศไทย เวลาคนไข้ติดต่อเข้ามา หรือ walk in เข้ามา ก็สามารถพบหมอได้เลย ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้ถือว่า Amazing มาก ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาสุขภาพในต่างประเทศ ผมถือว่า ข้อดีนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราชนะประเทศอื่น เมื่อเทียบกับประเทศในยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา ที่ต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะได้พบแพทย์เฉพาะทาง
และที่สำคัญ คือค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผลกว่ามาก เพราะการรักษาประเทศไทยไม่ได้แพงเวอร์ อลังการ หมายถึงว่า ไม่ได้แพงมาก ถ้าเทียบกับการรักษาแบบเดียวกันต่างประเทศ”
ในขณะที่จิตวิญญาณแห่งการบริการของคนไทย (Service Mind) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ยากจะลอกเลียนแบบ โดยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญในประเทศไทยจะมีจิตใจในการบริการดีกว่าชาติอื่น พยาบาลก็ดูแลคนไข้ได้ใกล้ชิดขึ้น มีรอยยิ้มกับคนไข้ ซึ่งมันไม่ได้จากการฝึก แต่เกิดจาก Inner หรือคุณลักษณะของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่สอนไม่ได้”
ฝันให้ไกล ไปให้ถึง
นพ.ดิตถพงษ์ เผยว่า สถานที่ตั้งโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ ใหม่นี้ ทำให้สามารถรองรับความต้องการของคนไข้เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า พร้อมด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ายิ่งขึ้น เป็นการยืนยันถึงความสำเร็จและการยอมรับในระดับโลก และที่สำคัญคือการเติบโตนี้มีรากฐานมาจากปรัชญาที่ไม่เปลี่ยนแปลง
“เราอยากจะให้คนไข้มาแล้วรู้สึกว่าเขาประทับใจ แล้วสุขภาพเขาดีขึ้น จุดหลักที่เราอยากได้จริง ๆ คือ การที่รักษาคนไข้ให้ดีขึ้น เรื่องเงินเป็นเรื่องดี แต่ผมว่าถ้าคุณทำอะไรให้เยี่ยมให้ดีจริง เดี๋ยวคนก็มาหาคุณเอง”
สิ่งนี้สะท้อนปรัชญาที่ว่า การทำธุรกิจโรงพยาบาล ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีและไม่ใช่แค่เครื่องมือที่ล้ำหน้า แต่ยังมีความทุ่มเทของผู้ให้การรักษาคือหัวใจสำคัญที่ช่วยยกระดับความแม่นยำ ปลอดภัย และประสิทธิภาพของการรักษา
ความฝันที่สอง นวัตกรรมเพื่อ “คืนชีวิต” ให้กับผู้ป่วย
การประสบความสำเร็จในวันนี้ ไม่ได้ทำให้วิสัยทัศน์ของนายแพทย์ดิตถพงษ์หยุดอยู่กับที่ เพราะความฝันของท่านยังไม่จบ ซึ่งวันนี้เขากำลังเดินตาม “ความฝันที่สอง” ของตนเองอีกครั้ง
ความฝันวันนี้ของเขาคือ การนำนวัตกรรมสุดล้ำด้านการรักษา เพื่อ “แก้ไขความพิการ” และ “ฟื้นฟูสมอง” ให้กับผู้ป่วยที่ต้องทนทุกข์จากความป่วยไข้ ให้รู้สึกบรรเทาเบาบางลง โดยหลังจากสร้างโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังและข้อสำเร็จแห่งใหม่เรียบร้อยแล้ว นพ.ดิตถพงษ์ มีแผนจะเปิดโรงพยาบาลใหม่ในตึกเดิมที่รีโนเวตใหม่ ให้เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการฟื้นฟูคนพิการ ที่มีการนำเทคโนโลยีการผ่าตัดระบบเส้นประสาท และแนวคิดในการจัดเรียงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นใหม่ ไปจนถึงการกระตุ้นสัญญาณประสาทให้กลับมาใช้งานได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาโรงพยาบาลแห่งใหม่ในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปี 2569
โรงพยาบาลแห่งใหม่นี้ เกิดจากความตั้งใจส่วนตัวของนพ.ดิตถพงษ์ ที่มีความปรารถนาจะช่วยผู้ป่วยที่ประสบภาวะอ่อนแรง แขนขาใช้งานไม่ได้ ให้กลับมาช่วยเหลือตัวเองได้อีกครั้ง
“แนวทางการรักษา จะเป็นการใช้เทคโนโลยีการผ่าตัดระบบเส้นประสาท การจัดเรียงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นใหม่ ไปจนถึงการกระตุ้นสัญญาณประสาทให้กลับมาใช้งานได้ ที่ผมบอกมานั้น เกิดจากแรงบันดาลใจ เราจะนึกถึงว่าเวลามีคนที่เกิดความพิการเกิดขึ้น เช่น แขนขาอ่อนแรง หรือไปประสบอุบัติเหตุและกระดูกไขสันหลังเสีย ทำให้การรักษายากขึ้นไปอีกหลาย step และผมมองว่า เราสามารถจะนำเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่มาช่วยคนกลุ่มนี้ได้ ซึ่งยังไม่มีโรงพยาบาลเฉพาะทางแห่งใดในประเทศไทยให้การรักษาอย่างจริงจัง”
นพ.ดิตถพงษ์ อธิบายถึงแนวทางการรักษาในอนาคต ที่ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ล้ำหน้าว่า “เราสามารถเอากล้ามเนื้อมัดดีที่อยู่ใกล้ ๆ กัน แบ่งครึ่ง เอาเอ็นจากกล้ามเนื้อดี ไปต่อกล้ามเนื้อที่ไม่ดีได้ ซึ่งตอนนี้ทำได้แล้ว หรือแม้กระทั่งการใช้เครื่องกระตุ้นสัญญาณสมองให้อาการคนไข้ดีขึ้น ซึ่งกระบวนการรักษาเป็นเทคนิคการแพทย์ เป็นการเปิดมิติใหม่ของการรักษาในประเทศไทย ซึ่งผมมองว่าเป็นนวัตกรรมการฟื้นฟูผู้ป่วยแบบใหม่ในประเทศไทย”
อย่างไรก็ดี ประเด็นดังกล่าว เขาตระหนักว่า “แม้จะไม่ได้ทำให้คนไข้กลับมาเป็นปกติได้ 100% แต่ก็สามารถทำให้อาการเจ็บป่วยของคนไข้ จากเดิมที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อย่างน้อยเขากลับมาช่วยเหลือตัวเองได้อีกครั้ง ซึ่งย้ำว่า สิ่งนี้คือความฝันสูงสุดของแพทย์ผู้ให้การรักษาของผม”
หัวใจความสำเร็จ ที่ไม่ได้โฟกัสเพียงเรื่องธุรกิจ
จากการสัมภาษณ์ นพ.ดิตถพงษ์ มากว่า 2 ชั่วโมง เราพบว่า ความสำเร็จทางธุรกิจของท่าน ไม่ได้วัดแค่ท่านมีสินทรัพย์มากหรือน้อยแค่ไหน สิ่งที่กองบรรณาธิการอยากจะนำเสนอเนื้อหาที่ได้จากท่านคือ เราอยากทราบว่า ทำไม โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ จึงได้รับการยอมรับอย่างสูงจากลูกค้าทั่วโลก และในฐานะหนึ่งที่เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ในประเทศไทย
“เป้าหมายของผมคือ เวลาคุณเห็นคนไข้มีอาการเจ็บป่วยดีขึ้น ความรู้สึกลึก ๆ ข้างในจิตใจมันดีมาก ๆ และการที่ได้เห็นผู้ป่วยจากที่เคยเดินไม่ได้ กลับมาเดินได้ และเดินเข้ามากอดพร้อมน้ำตา มันคือสิ่งที่มีคุณค่าเหนือกว่าสิ่งอื่นใด”
ได้ฟังคำตอบนี้แล้ว ก็ต้องบอกว่า ท่านคือ ต้นแบบของแพทย์ที่นำความฝัน ความเชี่ยวชาญ และความกล้าหาญ มาผสานรวมกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่ามหาศาลต่อสังคม เพื่อเดินตามปรัชญาหลักของโรงพยาบาล เอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ ที่ว่า “คืนช่วงเวลาแห่งความสุขให้ชีวิตคุณ” (Bring Back Quality Time)
พันธกิจนี้เน้นย้ำถึงการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยมุ่งเน้นการแก้ไขสาเหตุหลักของอาการป่วย แทนที่จะเพียงแค่รักษาตามอาการเท่านั้น และถ้า The Best คือคำชื่นชมที่ใช้กับผู้เปลี่ยนแปลงโลกการแพทย์ “นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล” ก็คือ “บุคคล” คนนั้น
จุดแข็งที่แตกต่างของโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์
- ทีมแพทย์และบุคลากรที่มีความชำนาญเฉพาะทาง ไม่ใช่แค่แพทย์เท่านั้น แต่พยาบาลและทีมงานอื่น ๆ ก็ถูกฝึกมาอย่างดีเพื่อให้เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยตรง ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เหมือนนักขับรถที่ขับคล่องแล้ว
- เครื่องมือทางการแพทย์ที่ครบครันและเฉพาะทางที่สุด โรงพยาบาลลงทุนในอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อการรักษากระดูกสันหลังและข้อโดยเฉพาะ เช่น เครื่องเอกซเรย์ที่มีโปรโตคอลพิเศษสำหรับการวินิจฉัย หรือเครื่อง MRI ที่สามารถสแกนขณะผู้ป่วยยืนได้ ซึ่งสำคัญมากสำหรับโรคที่เกิดจากน้ำหนักกดทับ
- มุ่งเน้นการหาสาเหตุของโรคเป็นหลัก ซึ่ง นพ.ดิตถพงษ์ เปรียบเทียบหลักการนี้กับการหาสาเหตุของทุกข์ในหลักอริยสัจ 4 ของพระพุทธศาสนา ว่า “การรักษาจะไม่มีวันหายขาดหากไม่แก้ที่ต้นเหตุ คุณต้องวินิจฉัยให้ถูกก่อนการรักษา มันจะบอกเองว่าต้องใช้วิธีอะไรรักษาให้ดีที่สุด”
- การรักษาแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive) คือไฮไลต์ที่สำคัญที่สุดของโรงพยาบาลแห่งนี้ ซึ่งการเปลี่ยนจากการผ่าตัดแผลใหญ่ เป็นแผลเล็ก มีประโยชน์อย่างมาก เช่น ลดการบาดเจ็บ ลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล (95% ของผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ภายใน 1 คืน หรือบางครั้งไม่จำเป็นต้องนอนเลย) ลดโอกาสติดเชื้อ และลดการให้เลือด โดยแทบไม่ได้ให้เลือดคนไข้มาเกือบ 6 ปีแล้ว โดยกว่าจะได้ผลลัพธ์นี้ได้ ต้องอาศัยการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องของทั้งแพทย์ พยาบาล และการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย
- การรักษาแบบครบวงจร นอกจากผ่าตัดแล้ว ยังมีการทำกายภาพบำบัดที่ตรงจุด และการให้ยาที่ปรับให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย (Case by Case) เนื่องจากแต่ละคนมีพื้นฐานและต้นเหตุของทุกข์ไม่เหมือนกัน
- ผลการรักษาที่น่าประทับใจ มีผู้ป่วยจำนวนมากที่เคยเดินไม่ได้ นั่งรถเข็น หรือนอนติดเตียง แต่สามารถเดินกลับบ้านได้หลังการรักษา ซึ่งมักจะกล่าวว่า “รู้งี้ทำมานานแล้ว”
รักษาข้อเข่า ด้วยเทคนิคส่องกล้อง Arthroscope
ไม่เพียงแค่โรคกระดูกสันหลังเท่านั้น โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ ยังให้บริการดูแลโรคข้อแบบครบวงจร ครอบคลุมทั้งข้อเข่า ข้อสะโพก และข้อไหล่ เนื่องจากในปัจจุบัน โรคความเสื่อมของกระดูกและข้อไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มผู้สูงอายุอีกต่อไป แต่ยังพบได้ในกลุ่มคนวัยทำงานหรือแม้แต่ผู้ที่มีอายุน้อย ซึ่งมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การนั่งทำงานเป็นเวลานาน ยกของผิดท่า หรือทำกิจกรรมที่ส่งผลต่อข้อและกระดูก ทำให้เกิดความเสื่อมเร็วกว่าปกติ ดังนั้น การรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยจึงเป็นสิ่งสำคัญ
โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ นำเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและแม่นยำมาใช้ในการรักษา อาทิ
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมด้วยหุ่นยนต์ (Total Knee Arthroscopic)
- การผ่าตัดข้อเข่าเทียมบางส่วน (Unicompartmental Knee Arthroplasty – UKA)
- การผ่าตัดส่องกล้องรักษาเอ็นไขว้หน้า (Anterior Cruciate Ligament Injury)
- การผ่าตัดส่องกล้องรักษาเอ็นไขว้หลัง (Posterior Cruciate Ligament Injury)
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกแบบเต็ม (Total Hip Arthroplasty)
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกบางส่วน (Hip Hemiarthroplasty)
- การผ่าตัดส่องกล้องรักษาเอ็นข้อไหล่ (Shoulder Arthroscopic)
- การผ่าตัดส่องกล้องรักษาภาวะกระดูกทับเอ็นหัวไหล่ (Impingement Syndrome)
เขียนและเรียบเรียง : ยุพาพร คุณานันท์
ติดตาม Business+ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG : https://www.instagram.com/businessplus.th/
Youtube : https://www.youtube.com/@thebusinessplus7829
#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus #Business