Origin

ใครจะหยุด Origin Property

ใครจะหยุด Origin Property

Business Model ที่กล้าบอกกับคู่แข่งและลูกค้าว่า จากนี้เราจะไม่ใช่ Developer แต่จะเป็น The Empire of Origin

เมื่อความกล้าบวกกับความฝันที่ไม่อยากหยุดแค่ชื่อธรรมดา Origin Property จึงใช้เวลา 9 ปีเพื่อพาตัวเองมาอยู่กลุ่มหัวแถวในธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ

 

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย เคยมีชื่อผู้ประกอบรายใหญ่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเพียงไม่กี่ราย แต่แล้วก็มีชื่อบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI แทรกขึ้นมาให้เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว

กลยุทธ์การเติบโตของกลุ่มนี้จึงน่าสนใจ ทั้งที่แบรนด์ๆ นี้ มีอายุเพียง 9 ปี และมีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง

โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2558-2560) หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทีเดียว

จากตัวเลขรายได้ 559 ล้านบาท เพิ่มเป็น 4,014 ล้านบาท (9 เดือน ปี 2560)

 

Origin Property
Total Revenues Projection 2018F – 2022F

 

Origin Property
Total Revenues Portion 2018F- 2011F

 

ไม่เพียงเท่านั้น ราคาหุ้นของ ORI ยังเป็นหุ้นกลุ่ม “Growth Stock” ที่เหล่านักลงทุนล้วนหมายปอง เพราะเติบโตรวดเร็วราวติดปีกทีเดียว

จากมูลค่าหุ้นตามราคาตลาด ณ สิ้นปี 2558 อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท ขยับมาเป็น 31,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2560 ขณะที่ราคาหุ้น ณ สิ้นปี 2558 จาก 8 บาท ขยับขึ้นเป็น 19.30 บาทในปี 2560

หลายคนคงสงสัย พร้อมตั้งคำถามว่า ทำไมหุ้นตัวนี้จึงโดดเด่นเป็นที่สนใจของบรรดานักลงทุนขนาดนี้ และอะไรที่ทำให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์น้องใหม่รายนี้สามารถผงาดขึ้นสู่ยักษ์ดีเวลลอปเปอร์ได้อย่างรวดเร็ว

ไปฟังคำตอบทั้งหมดจาก พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กันเลย

 

พีระพงศ์ เปิดฉากเล่าด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจถึงปัจจัยสำเร็จที่ขับเคลื่อนให้ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีการเติบโตที่รวดเร็วตลอด 9 ปีที่ผ่านมา

เกิดจาก 3 ปัจจัย ทั้งความกล้าคิด กล้าทำอย่างรวดเร็ว ผนวกกับการวางแผนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ และยุทธวิธีการทำตลาดที่แตกต่าง

จุดแตกต่างในการทำธุรกิจ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ พุ่งโฟกัสตลาดที่มีศักภาพในทำเลที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการพัฒนาโครงการคอนโดมีเนียมตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวในย่านบางนาและแบริ่งเป็นหลัก

ทั้งหมดจึงส่งผลให้ชื่อของ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ สามารถแจ้งเกิดในตลาด และก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมโซนกรุงเทพตะวันออกได้อย่างรวดเร็ว

 

แม้วันนี้ชื่อชั้นของ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จะเป็นที่รู้จักและยอมรับในตลาดอสังหาฯ เมืองไทย แต่พีระพงศ์ยังคงไม่หยุดนิ่งเพียงเท่านี้แน่

เพราะว่า เป้าหมายของเขานั้นต้องการจะนำพาออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ไต่ระดับสู่การเป็น อาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร หรือ The Empire of Origin เพื่อก้าวขึ้นมาเป็น TOP 3 ของผู้ประกอบการอสังหาฯของเมืองไทย

นั่นหมายความว่า ทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ต่อจากนี้ ย่อมไม่ได้หยุดแค่เพียงการพัฒนาคอนโดมีเนียมอีกแล้ว

แต่จะขับเคลื่อนตัวเองสู่ธุรกิจใหม่ ๆ อย่างเต็มสูบ ทั้งธุรกิจโครงการแนบราบ ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง รวมถึงธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการขายและการเช่า เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์

TOP 3 ของผู้ประกอบการอสังหาฯของเมืองไทย หรืออีกนัยหนึ่ง คู่แข่งในกลุ่มหัวแถวอย่างพฤกษา แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กระทั่งแสนสิริ กำลังถูกท้าทายจากน้องใหม่

 

สำหรับสเตปแรกของการสร้างอาณาจักรออริจิ้น พีระพงศ์ บอกว่า จะหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการระดับลักชัวรีมากขึ้น

โดยมีแผนจะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสผสานกับโครงการคอนโดมิเนียม 3 ทำเล เพื่อสร้างโครงการแฟล็กชิพภายใต้คอนเซ็ปต์ พาร์ค ออริจิ้น คอมเพล็กซ์ รวมมูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท ในทำเลใจกลางเมือง ได้แก่ พร้อมพงศ์ ทองหล่อ และพญาไท

เพื่อให้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ด้านการอยู่อาศัยของโลก ที่ผู้บริโภคจะให้น้ำหนักกับการเข้าอยู่อาศัยในโครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนยิ่งขึ้น

 

ส่วนการบุกตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบนั้น ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ได้ประเดิมเปิดโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดโปรเจคแรกภายใต้แบรนด์ ”บริทาเนีย” ลุยตลาดเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยแผนระยะยาว 5 ปีต่อจากนี้ จะเดินหน้าเปิดโครงการใหม่รวมมูลค่าทั้งสิ้น 45,800 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้รวมที่ 31,100 ล้านบาท โดยมีทั้งทำเลในกรุงเทพและต่างจังหวัดในพื้นที่อีอีซี

ขณะที่แนวทางการดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำต่อเนื่อง ที่ดำเนินงานภายใต้บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด ที่มีทั้งธุรกิจโรงแรม, เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ , รีเทล/ออฟฟิศ รวมถึงธุรกิจแวร์เฮ้าส์ที่อยู่ระหว่างการศึกษา

โดยจะมุ่งให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องคือ

1. Great Location โดยมุ่งเกาะทำเลศักยภาพอย่างสุขุมวิทที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทั่วไป

2. Great Service ให้ความสำคัญกับมาตรฐาน

ในส่วนโรงแรม จะจับมือกับเชนต่างประเทศเข้ามาช่วยบริหาร เพื่อให้เกิดมาตรฐานสากล และ

3. Great Product โดยจะมุ่งพัฒนาโครงการแบบมิกซ์ยูส ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย

3 ปัจจัย ทั้งความกล้าคิด กล้าทำอย่างรวดเร็ว ผนวกกับการวางแผนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ และยุทธวิธีการทำตลาดที่แตกต่าง

แน่นอนว่า การเดินหน้าสู่เป้าหมายใหญ่ขึ้น ย่อมทำให้ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เด่นมากขึ้น โดยเมื่อมองจากแผน 5 ปี ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 27,500 ล้านบาท (ไม่รวมโครงการ JV)

 

แต่มากไปกว่านั้นแล้ว พีระพงศ์ บอกว่า เกมนี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและทำให้อาณาจักรออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ สามารถสร้างรายได้ที่เติบโตอย่างยั่งยืนยิ่งขึ้นในอนาคต

ไม่แน่ว่า เกมรุกรอบนี้ เราอาจจะได้เห็นแบรนด์บ้านเดี่ยว บ้านแฝด พร้อมทั้งบริการของ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ครบวรจรก็เป็นได้

เรียกได้ว่าเป็นน้องใหม่ไฟแรงเฟร่อ ที่บิ๊กเพลย์ในตลาด ไม่อาจจะละสายตาได้อีกแล้ว