เมื่อเอ่ยถึงแบรนด์ไทยที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลามากว่าครึ่งศตวรรษ จะพบว่ามีเพียงไม่กี่รายที่ยังสามารถรักษาความนิยมและความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง “10 แบรนด์คุณปู่” เหล่านี้จึงไม่เพียงเป็นเครื่องหมายของความสำเร็จในเชิงธุรกิจ แต่ยังสะท้อนถึงรากฐานของวัฒนธรรม ความเชื่อ และการปรับตัวที่กลมกลืนกับยุคสมัยได้
นี่คือ 10 แบรนด์ตัวอย่างที่พิสูจน์ว่า “อายุไม่ใช่อุปสรรคของความทันสมัย” แต่คือพลังแห่งประสบการณ์ที่ต่อยอดสู่ความยั่งยืนในทุกยุคสมัย

เริ่มจาก หมอมี บริษัท หมอมี จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2441 (อายุ 127 ปี) ด้วยจุดเด่นด้านความน่าเชื่อถือทางสุขภาพ ซึ่งทำให้แบรนด์คงอยู่ในใจผู้บริโภคมานานกว่า 1 ศตวรรษ และยังคงปรับตัวสู่ผลิตภัณฑ์สุขภาพยุคใหม่ได้อย่างลงตัว
ต่อมาคือ เอสซีจี (SCG) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2456 (อายุ 112 ปี) ถือเป็นเสาหลักของอุตสาหกรรมไทยที่ยืนยงด้วยนวัตกรรมและแนวคิดความยั่งยืน โดยรายได้รวมสูงถึง 526,674 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 6,342 ล้านบาท
ในปีเดียวกันนั้น ยังมี ทิพรส จากบริษัท ไพโรจน์ (ทั่ง ซัง ฮะ) จำกัด ที่ถือกำเนิดขึ้นเช่นกัน ด้วยรสชาติไทยแท้แต่ได้มาตรฐานสากล ส่งผลให้แบรนด์สามารถครองตลาดซอสปรุงรสได้ยาวนานกว่า 112 ปี ด้วยรายได้รวม 3,043 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 410 ล้านบาท
ขยับมาที่แบรนด์ ชาตรามือ ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 2468 (อายุ 100 ปี) ภายใต้บริษัท ชาไทย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จากชาไทยริมถนนสู่แบรนด์เครื่องดื่มทันสมัยที่โด่งดังไปทั่วโลก ด้วยรายได้รวมกว่า 3,506 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 60 ล้านบาท
ด้าน ตราตะขาบ 5 ตัว ของบริษัท ห้าตะขาบ ซิมเทียนฮ้อ จำกัด ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งความเชื่อมั่นในยาไทยที่คนไทยไว้วางใจมานานกว่า 90 ปี จนกลายเป็นภาพจำของคนไทยจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบัน
ในขณะเดียวกัน โป๊ยเซียน จากบริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2479 (อายุ 89 ปี) เป็นอีกแบรนด์ที่สะท้อนภาพ “ความคลาสสิก” และความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้อย่างดี ด้วยรายได้รวม 554 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 164 ล้านบาท
ส่วน ตรากระต่ายบิน ของบริษัท บอส ฟาร์มาแคร์ จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2485 (อายุ 82 ปี) ยังคงรักษาคุณภาพและความคุ้นเคยกับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ยาไทยที่ทุกบ้านรู้จัก ด้วยรายได้รวม 1,155 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 531 ล้านบาท
ขณะที่ ตรางู จากบริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2490 (อายุ 78 ปี) เป็นตัวอย่างของแบรนด์ที่รู้จักปรับภาพลักษณ์ให้เข้ากับยุคใหม่อยู่เสมอ พร้อมรายได้รวมกว่า 1,145 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 135 ล้านบาท
ในปีเดียวกันนั้น Parrot หรือที่รู้จักกันในชื่อ สบู่นกแก้ว ของบริษัท รูเบียอุตสาหกรรม จำกัด (ในเครือ BJC) ก็ถือกำเนิดขึ้นเช่นกัน แบรนด์สบู่หอมที่กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ยังคงตราตรึงใจผู้บริโภคมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยรายได้รวม 2,222 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 265 ล้านบาท
และอีกหนึ่งแบรนด์เก่าแก่ที่ยังสดใหม่อยู่เสมอคือ ศรีจันทร์ จากบริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2491 (อายุ 77 ปี) แบรนด์แป้งไทยระดับตำนานที่ประสบความสำเร็จในการรีแบรนด์สู่ภาพลักษณ์ “ความงามยุคใหม่” ได้อย่างโดดเด่น ด้วยรายได้รวม 1,600 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 205 ล้านบาท
ท้ายที่สุด หากมองย้อนกลับไปยังรากฐานของความยั่งยืนในภาคธุรกิจไทย คงไม่อาจละเลยชื่อของ บี.กริม เพาเวอร์ บริษัทที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่มนี้ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2421 (อายุ 147 ปี) และถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งยังคงดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศไทย จากจุดเริ่มต้นในฐานะร้านยา “สยามดิสเพนซารี่” ก่อนขยายสู่ธุรกิจพลังงาน และกลายเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายแรกของประเทศ บี.กริมจึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจดั้งเดิมสู่อนาคตได้อย่างมั่นคงและมีวิสัยทัศน์
หากมองภาพรวมของทั้ง 10 แบรนด์ จะเห็นจุดร่วมที่สะท้อนให้เข้าใจถึง “สูตรสำเร็จแห่งความยั่งยืน” ได้อย่างชัดเจน ทุกแบรนด์ล้วนสร้างรากฐานบนความเชื่อมั่นในคุณภาพและความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค ซึ่งกลายเป็นทุนทางแบรนด์ที่ทรงคุณค่าและสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ขณะเดียวกันก็สามารถปรับภาพลักษณ์ให้สอดคล้องกับยุคสมัย
โดยไม่ละทิ้งตัวตนหรือคุณค่าดั้งเดิมที่เป็นหัวใจของแบรนด์ การเติบโตของพวกเขาไม่ได้เกิดจากการหยุดนิ่ง หากแต่มาจากการขยายโอกาสทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะผ่านตลาดใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือช่องทางดิจิทัลที่เข้าถึงผู้บริโภครุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้ดำเนินไปภายใต้วิสัยทัศน์ระยะยาวของผู้บริหารที่มองข้ามกำไรระยะสั้น เพื่อสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนในระยะยาวอย่างแท้จริง
แบรนด์เหล่านี้จึงไม่ใช่เพียง “ผู้รอดจากกาลเวลา” แต่คือ “ครูของวงการธุรกิจไทย” ที่ถ่ายทอดบทเรียนอันสำคัญให้โลกธุรกิจร่วมสมัยได้เรียนรู้ว่า ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ใครวิ่งได้เร็วที่สุด แต่อยู่ที่ใครรู้จัก “หยุดเพื่อปรับ” และ “เดินต่ออย่างมั่นคง” ในทุกช่วงของการเปลี่ยนแปลง เพราะในท้ายที่สุด แบรนด์ที่ยืนยาว คือแบรนด์ที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงได้ลึกซึ้งที่สุด และสามารถเปลี่ยน “เวลา” ให้กลายเป็น “คุณค่า” ที่ยิ่งทวีขึ้นทุกยุคทุกสมัย
ที่มา : เว็บไซต์บริษัท ,DBD, Set
The Business Plus บิสิเนสพลัส
