กลุ่มผู้บริหารแห่งอนาคต “วปอ.บอ. รุ่น 2” ร่วมเสนอนโยบายพัฒนาความมั่นคงชาติ 10 ปี โชว์กลยุทธ์พลิกพัฒนาความมั่นคงชาติในช่วงเร่งด่วน – ระยะยาว ด้วยโมเดล “2P by 2P” หนุนเปลี่ยนโครงสร้าง พร้อมเอาชนะความท้าทายของโลกในศตวรรษที่ 21

กลุ่มผู้บริหารแห่งอนาคต “วปอ.บอ. รุ่น 2” ร่วมเสนอนโยบายพัฒนาความมั่นคงชาติ 10 ปี
โชว์กลยุทธ์พลิกพัฒนาความมั่นคงชาติในช่วงเร่งด่วน – ระยะยาว ด้วยโมเดล “2P by 2P”
หนุนเปลี่ยนโครงสร้าง พร้อมเอาชนะความท้าทายของโลกในศตวรรษที่ 21

  • นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ร่วมรับฟังข้อเสนอการพัฒนาชาติจากเสียง 200 ผู้นำรุ่นใหม่ กับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อการพัฒนาความมั่นคงของชาติในระยะ 10 ปี ทรานฟอร์มประเทศให้ “กินดี – อยู่ดี – มีสุข”
  • เปิดตัวโมเดล “2P by 2P: Prosperity Peace – Professionalism Partnership” พลิกเกมความมั่นคงไทยในทุกมิติตั้งแต่ปัจจุบันถึงทศวรรษหน้า เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปให้ไกลกว่าเดิม
  • เผยโฉมหน้า 150 เยาวชนไทยลอตแรกที่ผ่านการคัดเลือกโครงการ Future Ready by Future Leader ร่วมฝึกทักษะแรงงานกับบริษัทชั้นนำของประเทศ

 หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 2 ระดมผู้บริหารแห่งอนาคต กว่า 200 คน จาก 5 ภาคส่วน เปิดข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อการพัฒนาความมั่นคงของชาติในระยะ 10 ปี ด้วยแนวคิด 2P by 2P ภายใต้การเปลี่ยนผ่านของประเทศ ใน 4 แกนหลักได้แก่  Prosperity Peace – Professionalism  Partnership ซึ่งเป็นแกนหลักในการช่วยวางรากฐานของประเทศเพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงในของศตวรรษที่ 21 พร้อมขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทยให้กินดี อยู่ดี มีสุข นอกจากนี้ ยังเปิดตัว 150 เยาวชนไทยกลุ่มแรกที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ ‘Future Ready by Future Leader โอกาสจากพี่ เพื่อโอกาสแห่งอนาคต’ ต้นแบบโมเดลสร้างความเท่าเทียมให้เยาวชนฝึกงานกับบริษัทชั้นนำของประเทศ

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายก​รัฐมนตรี​และรัฐมนตรี​ว่าการ​ว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อการพัฒนาความมั่นคงของชาติในระยะ 10 ปี ภายใต้แนวคิด 2P by 2P: Prosperity Peace – Professionalism  Partnership ที่มาจากวิธีคิดของผู้บริหารแห่งอนาคต ของนักศึกษาในหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 2 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตของประเทศ โดยจะนำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในครั้งนี้ ไปบูรณาการให้สอดคล้องกับกลไกการทำงานของรัฐบาล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนในประเทศ ทั้งนี้ แม้ว่าหลายข้อเสนอแนะจะสอดคล้องนโยบายปัจจุบันของรัฐบาลที่กำลังดำเนินการอยู่ ก็พร้อมกำหนดแนวทางปฏิบัติให้ชัดเจนมากขึ้น และยังมีอีกหลายแนวทางที่ภาครัฐพร้อมพิจารณาและส่งเสริมเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับประเทศไทย โดยต้องพิจารณาว่าสามารถทำได้จริงและทำได้ทันที ภาครัฐพร้อมสนับสนุนเต็มที่ เพื่อสร้างแนวทางความร่วมมือระหว่างกัน และเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนประเทศ

พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ทศวรรษแห่งความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจดิจิทัล สังคมสูงวัย ฯลฯ จากประเด็นที่สำคัญเหล่านี้ หลักสูตร วปอ.บอ. จึงให้ความสำคัญกับการมุ่งผลิตและพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ที่กล้าลงมือสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ด้วยองค์ความรู้ ความเข้าใจในมิติเชิงลึกของสังคมไทย พร้อมสามารถเชื่อมโยงบริบทของโลกและประเทศได้ โดย วปอ.บอ.
ในปีการศึกษา 2568 ถือเป็นปีที่ 2 ของหลักสูตร ที่มีกลุ่มผู้บริหารคนรุ่นใหม่จากทุกภาคส่วนทั้งภาคการทหาร ภาคข้าราชการพลเรือน ภาคการเมือง ภาคเอกชน และบุคคลทั่วไปเข้าร่วมศึกษาในหลักสูตร ซึ่งทุกคนล้วนมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ

โดยผลลัพธ์ที่สำคัญของการเข้ารับการบ่มเพาะและฝึกปฏิบัติ นักศึกษาทั้งหมด คือการนำประสบการณ์และองค์ความรู้ของแต่ละคนมาร่วมจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อการพัฒนาความมั่นคงของชาติ 10 ปี สู่เป้าหมาย “กินดี อยู่ดีมีสุข” ภายใต้แนวคิด 2P by 2P คือ Prosperity Peace – Professionalism Partnership ซึ่งสะท้อนคุณภาพของนักศึกษา วปอ.บอ. ในด้านความเข้าใจต่อบริบทความท้าทายของประเทศและวิธีการขับเคลื่อนประเทศในทศวรรษใหม่ให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของนักศึกษา วปอ.บอ. ครั้งนี้ จึงถือเป็น Roadmap แห่งความร่วมมือ ที่หลอมรวมองค์ความรู้จากหลากหลายภาคส่วนต่อยอดสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ทั้งในระดับชาติและระดับองค์กร ทำให้ประเทศไทยสามารถปลดล็อกข้อจำกัดเพื่อให้ก้าวทันโลกมากขึ้นและขับเคลื่อนประเทศไปให้ไกลกว่าเดิม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทุกคน

พลตรี ชัชวาลย์ พยุงวงศ์ รองปลัดบัญชีทหาร ผู้อำนวยการหลักสูตร วปอ.บอ.รุ่นที่ 2 กล่าวว่า หลักสูตร วปอ.บอ. ไม่เพียงแต่สร้างองค์ความรู้ด้านความมั่นคงด้วยมิติที่รอบด้านแต่เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ร่วมกันจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อฝึกกระบวนการคิดวิเคราะห์เชิงระบบ สามารถเชื่อมโยงปัญหาเชิงโครงสร้างกับโอกาสในการสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การผสานความคิดของนักศึกษาในทุกภาคส่วน ด้วยข้อมูล ประสบการณ์ และการวิเคราะห์อนาคตของประเทศอย่างเป็นระบบ เพื่อวางรากฐานประเทศให้เข้มแข็ง ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติของศตวรรษที่ 21 ตลอดจนเอาชนะความท้าทายจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ

พันเอกคมกฤช คชรักษา ประธานนักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ.รุ่นที่ 2 กล่าวว่า “แนวคิด Prosperity Peace – Professionalism Partnership” คือกรอบการทำงานหลักของหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 2 ที่มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืนในอีก 10 ปีข้างหน้า แนวคิดนี้ประกอบด้วย กลไก 2P by 2P ที่มีแนวทางปฏิบัติชัดเจนทั้งในระยะสั้น กลาง และระยะยาว โดย 2P แรก เป็นเป้าหมายระยะยาว ได้แก่ Prosperity (ความเจริญรุ่งเรืองของชาติ) และ Peace (ความสงบสุขหรือสันติภาพ) ส่วน 2P ตัวหลัง จะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้

  • Prosperity สร้างความรุ่งเรืองที่ยั่งยืนบนโครงสร้างเศรษฐกิจที่เท่าทันโลก เพื่อชีวิตที่ดีอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยต้องเร่งขจัดปัญหาคอร์รัปชันและแก้ไขกฎระเบียบที่เอื้อต่อคนบางกลุ่ม เพื่อพลิกฟื้นศักยภาพของระบบเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตอย่างเข้มแข็งและแข่งขันได้ในระดับสากล รับมือความท้ายในอนาคต ผ่านการปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างจากฐานราก ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    การเติบโตทางเศรษฐกิจในศตวรรษใหม่ต้องไม่พึ่งพาส่งออกหรือท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเพิ่มขีดความสามารถภาคเกษตรกรรม ภาคบริการพร้อมสร้างอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อุตสาหกรรมอาหารสุขภาพ เทคโนโลยีทางการแพทย์ พลังงานสะอาด และเทคโนโลยี AI ควบคู่กับการพัฒนาเมืองรอง การสร้างภูมิภาคเศรษฐกิจใหม่ และกระจายโอกาสอย่างเท่าเทียม เพื่อสร้างความมั่งคั่งที่ดีอย่างทั่วถึงในทุกพื้นที่ของประเทศไทย
  • Peace สร้างความสงบสุขที่จับต้องได้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติ นโยบายการสร้างสันติภาพที่ไม่ใช่เพียงไร้ความขัดแย้ง แต่คือการมีสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ประชาชนเข้าถึงได้จริงเพื่อชีวิตที่ปลอดภัย ทั้งทางกาย ใจและโอกาส โดยเป้าหมายของ Peace จะเชื่อมโยงกับความสามารถในการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง ผ่าน 4 ฉากทัศน์ ได้แก่ เพิ่มความสามารถของคนไทยในการดำรงชีวิตอย่างรอบด้านทั้งรายได้ สุขภาพ การศึกษาและความมั่นคงในชีวิตประจำวัน 2.บูรณาการข้อมูลพื้นฐานของประชาชนทุกกลุ่มเพื่อวางนโยบายที่แม่นยำ ยกระดับแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิต ครอบคลุมคนทุกช่วงวัยในทุกพื้นที่ 3.ส่งเสริมเศรษฐกิจแบบแข่งขันที่เติบโตไปพร้อมกับความเท่าเทียม และ 4. พัฒนาระบบดูแลคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งในเชิงป้องกันและเชิงรุก เพื่อให้พื้นที่อยู่อาศัยของคนไทยกลายเป็น “เมืองน่าอยู่” และปลอดภัยต่อสุขภาวะ ดังนั้น นโยบาย Peace จึงเป็นการปักหมุดระบบของรัฐให้เป็นผู้สนับสนุนการบูรณาการความมั่นคงในสังคมไทย ให้อยู่ดี กินดี คิดได้ พูดได้และใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิใจของพลเมือง โดยมีตัวชี้วัด คือ ความสามารถในการดำรงชีวิต (Livability) ของคนไทยต้องติด Top 10 ในเอเชีย และดัชนี World Happiness index จากอันดับ 49 ของโลกขึ้นมาติด Top 30 และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน

ขณะที่แนวทางการขับเคลื่อนระยะสั้นถึงกลาง จะดำเนินผ่านนโยบาย 2P คือ Professionalism และ Partnership โดย Professionalism หรือ ความเป็นมืออาชีพ เป็นเครื่องมือสำคัญต่อการพัฒนาความมั่นคงแห่งชาติ โดยเน้นยกระดับความเป็นมืออาชีพในทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ การเมือง การทหาร ประชาสังคมและภาคเอกชน และ Partnership หรือ ความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนประเทศผ่านการสร้างเครือข่ายหรือความร่วมมือทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ ผ่านหลักการทำงาน คือ

  • Professionalism พัฒนาความเป็นมืออาชีพของภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อความไว้วางใจที่ยั่งยืน โดยความเป็นมืออาชีพต้องไม่ขึ้นอยู่กับ “ตัวบุคคล” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องครอบคลุมถึงระบบหรือภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างความสามารถการแข่งขันในระยะยาว นโยบายด้านนี้จึงเน้นยกระดับ “Professionalism” ของหน่วยงานรัฐ ภาคการเมือง ภาคความมั่นคง ภาคประชาชนและเอกชน ให้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและมี      ธรรมาภิบาล โดยมีแนวทางสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมให้คนไทยเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมและเข้าใจ  เพื่อสร้างอธิปไตยด้านดิจิทัล ที่ทำให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและใช้เทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในด้านการดูแลสุขภาพ การศึกษา อาชีพ และความเป็นอยู่ให้ง่ายขึ้น
  • Partnership เปลี่ยนความร่วมมือให้เป็นพลังเชิงระบบ ด้วยแนวคิด Partnership Thailand บูรณาการความร่วมมือที่ออกแบบสร้างระบบความร่วมมือให้ทุกฝ่ายมีส่วน ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมสร้าง หล่อหลอมพลังความรู้ ศักยภาพและหัวใจของการเปลี่ยนแปลงเข้าด้วยกัน ผ่าน 3 แนวทาง ได้แก่ ร่วมคิด หรือ Public Co-Design เปิดให้ประชาชนทุกคนร่วมคิดออกแบบนโยบายตั้งแต่ต้น (Public Designing) โดยใช้ AI ช่วยระดมความคิดเห็นทุกฝ่าย ร่วมทำ หรือ Partnership Index ให้หน่วยงานทั้งภาครัฐสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ช่วยขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า และ ร่วมสร้าง Partnership Sandbox ที่เปิดพื้นที่ให้ประชาชน เยาวชน เอกชนและหน่วยงานของรัฐได้ร่วมออกแบบการขับเคลื่อนนวัตกรรมหรือไอเดียใหม่ๆ ที่มีภาครัฐเป็นพี่เลี้ยงสนับสนุน เพื่อสร้างพลังการเปลี่ยนแปลงและสร้างโอกาสการเติบโตร่วมกัน

“วปอ.บอ. พร้อมเป็นแกนกลางการเชื่อมโยงทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน วิชาการและภาคประชาสังคม เพื่อผลักดันนโยบายต่อการพัฒนาความมั่นคงประเทศ10 ปี ที่มาจากผู้บริหารแห่งอนาคต เพื่อต้องการปลดล็อกศักยภาพของข้อจำกัดของประเทศ ผ่านกระบวนการขับเคลื่อนด้วยมืออาชีพตัวและความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อนำพาประเทศไทยในทศวรรษข้างหน้าไปสู่ประเทศที่กินดี อยู่ดี มีสุข เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน” พันเอกคมกฤช กล่าว

ประธานนักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ.รุ่นที่ 2 กล่าวอีกว่า โครงการ Future Ready by Future Leader ถือเป็นต้นแบบ Partnership ที่จับต้องได้ และเป็นจุดเริ่มต้นของระบบความร่วมมือข้ามภาคส่วนเชื่อมโยงภาครัฐ ภาคเอกชน และ วปอ.บอ. เพื่อสร้างสะพานการเชื่อมโยงโอกาสให้เยาวชนจากทั่วประเทศได้เข้าฝึกงานและทำงานกับบริษัทชั้นนำของประเทศ และยังมีโอกาสได้ร่วมคิด สร้าง และแก้ปัญหาจริง ถือเป็นหนึ่งภาพสะท้อนของประเทศที่ให้คนรุ่นใหม่มีบทบาทกำหนดและพัฒนาอนาคตตั้งแต่วันนี้ ซึ่งความสำเร็จของโครงการ “Future Ready by Future Leader โอกาสจากพี่ เพื่อโอกาสแห่งอนาคต” ที่มาจากพลังความร่วมมือของทุกเครือข่าย สามารถลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและอาชีพให้แก่เยาวชนทั่วประเทศ รวมถึงเปิดพื้นที่ให้เยาวชนในพื้นที่เปราะบาง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีโอกาสเข้าร่วมโครงการกับบริษัทชั้นนำของประเทศที่เปิดรับเยาวชนฝึกงานมากกว่า 50 บริษัท มากกว่า 200 ตำแหน่งงาน เพื่อเสริมทักษะแรงงานที่ตลาดต้องการ พร้อมรับมือโครงสร้างสังคมและตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยหลังเปิดตัวโครงการเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา พบว่า ได้รับความสนใจจากเยาวชนจากทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมโครงการผ่านทาง www.JobThai.com/Futureleader มากกว่า 700 ราย โดยมีเยาวชนกว่า 150 ราย ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกได้รับโอกาสฝึกงานตามความสนใจกับมืออาชีพตัวจริง ซึ่งจะเริ่มภายในเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2568 เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานและมีโอกาสได้รับการจ้างงานจริง ซึ่งจะช่วยลดปัญหาทักษะไม่ตรงกับงานหรือ Mismatch of skill และช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ระบบเศรษฐกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

###