เป็นที่รู้กันดีว่า กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่คนทั่วโลกนิยมดื่มกัน และมีมูลค่าตลาดมหาศาล แต่สำหรับในปี 2025 นี้ อาจต้องแบ่งพื้นที่ให้กับ “ชา” ที่มาแรงจนฟีเวอร์ทั่วโซเชียลตั้งแต่ต้นปีกับ มัทฉะ ด้วยการพูดถึงในไทยทะลุ 5.2 ล้านครั้ง ภายในไม่ถึง 2 เดือน และต่อเนื่องมาจนถึงกลางปี กับกระแส ชาไทยไม่ใส่สี ที่เจ้าดังหลายเจ้าต้องรีบออกเมนูนี้มาตอบรับให้ทันกับกระแสที่มาแรง
แต่คำถามคือ อะไรที่ทำให้ ชา กลายเป็นของฮอตฮิตจนขาดตลาด และนี่จะเป็นเพียงกระแสที่มาแล้วผ่านไป หรือจะจับความนิยมแล้วอยู่ยาว พร้อมพูดคุยถึงภาพรวมตลาดชาและอนาคตที่น่าจับตา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เราจะเห็นได้ว่ามีร้านเครื่องดื่มชามากมายที่เกิดขึ้นและเติบโตได้อย่างรวดเร็วไม่แพ้ร้านกาแฟ โดยเฉพาะในปี 2025 นี้ ชา ได้กลายเป็นเรื่องที่โซเชียลให้ความสนใจกันอย่างมาก เราจึงอยากมาชวนคุยกันว่า อะไรที่ทำให้ ชา กลายเป็นเครื่องดื่มที่มาแรงที่สุดในปีนี้
- เทรนด์สุขภาพมาแรง
ที่ผ่านมา หากต้องการเครื่องดื่มที่ช่วยเติมพลังและความกระปรี้กระเปร่า ตัวเลือกแรกที่หลายคนนึกถึง คงหนีไม่พ้น กาแฟ แต่ในยุคที่เทรนด์ Wellness กำลังมีอิทธิพลอย่างมากกับทั่วโลก ผู้คนต่างแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม ชา ได้กลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ทั้งในด้านของฤทธิ์คาเฟอีน ที่ในมัทฉะ ร่างกายจะค่อย ๆ ดูดซึมคาเฟอีน จึงให้ฤทธิ์ที่ยาวนานกว่า เทียบกับกาแฟที่ร่างกายดูดซึมคาเฟอีนได้เร็ว แต่ก็ออกฤทธิ์สั้นกว่า ทั้งยังอาจทำให้ใจสั่น เวียนหัว หรือเป็นกรดไหลย้อนได้ นอกจากนี้ ชา ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการชะลอความเสื่อมของร่างกาย และมี L-Theanine ที่ช่วยลดความเครียด ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
ประกอบกับรสชาติชาที่ไม่ได้หวานเลี่ยน มีกลิ่นหอมสดของใบชา ขมละมุนติดปลายลิ้น และสามารถต่อยอดเป็นเมนูได้หลากหลาย ไปจนถึงขนมหวานต่าง ๆ ที่บริโภคง่ายกว่ากาแฟรสขม จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บางคนเลือกที่จะหันมาดื่มชาแทนการดื่มกาแฟ
- พิธีชงชาแบบญี่ปุ่น : จากวัฒนธรรมสู่ไลฟ์สไตล์พรีเมียม
มัทฉะไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มทั่วไป หากแต่เป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนเรื่องราวทางวัฒนธรรมอันลึกซึ้งของพิธีชงชาแบบญี่ปุ่น ความงดงาม ประณีต และความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ทำให้มัทฉะถูกยกระดับเป็นเครื่องดื่มที่บอกรสนิยมและตัวตน การได้ลิ้มรสมัทฉะที่ชงด้วยฉะเซ็นในถ้วยชาวัง จึงไม่ใช่เพียงการดื่ม แต่เป็นประสบการณ์ที่มอบความพิเศษและความรู้สึกพรีเมียมอย่างแท้จริง จนกลายเป็นภาพแทนของไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจรายละเอียดและคุณค่าในทุกสิ่งที่เลือกสรร
- โซเชียลมีเดียปั่นกระแสต่อเนื่อง
ในยุคนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พลังของโซเชียลมีเดีย ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของแทบทุกอุตสาหกรรม เช่นเดียวกับกระแส ชา ที่กำลังร้อนแรงในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเปิด TikTok, Instagram หรือแพลตฟอร์มใด ก็เต็มไปด้วยคอนเทนต์เกี่ยวกับมัทฉะ ทั้งการชงชาแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ไปจนถึงเมนูฟิวชันสุดครีเอทีฟ ทำให้มัทฉะถูกยกระดับเป็น Aesthetic Drink ที่ทั้งสวยและถ่ายรูปขึ้น ตามมาด้วยการเพิ่มเมนูมัทฉะในร้านเครื่องดื่มมากมาย และยังต่อยอดไปจนถึงการเปิดคาเฟ่มัทฉะโดยเฉพาะ ที่พร้อมตอบโจทย์ทั้งสายดื่มและสายถ่ายรูป
มาต่อกันกับคำถามสำคัญที่ว่า ชา จะอยู่ยาวหรือแค่กระแสที่มาแล้วผ่านไป
แม้ว่ากระแสความนิยมของชาอาจดูร้อนแรง แต่หากพิจารณาลึกลงไป จะเห็นว่าชามีศักยภาพที่จะเติบโตและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยทั้งในแง่ของสุขภาพและไลฟ์สไตล์ ผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจสุขภาพและความพิถีพิถันมากขึ้น ชาถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และยังเชื่อมโยงกับภาพลักษณ์ของการดูแลตัวเองแบบเรียบง่ายแต่มีคุณค่า, ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ชาไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นเครื่องดื่ม แต่สามารถนำไปต่อยอดได้อีกมากมาย ทั้งในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ ซึ่งจะช่วยขยายฐานผู้บริโภคให้กว้างขึ้น ประกอบกับการสร้างสรรค์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาเมนูใหม่ ๆ ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นมัทฉะมะพร้าว ชาผลไม้ หรือแม้แต่การนำชาไทยมาดัดแปลงให้มีรสชาติและสีสันที่แตกต่างกันไป ทำให้ตลาดมีความน่าสนใจและไม่น่าเบื่อ
โดย UnivDatos คาดการณ์ว่า ตลาดมัทฉะทั่วโลกจะเติบโตถึง 9.44% ต่อปี ในช่วงระหว่างปี 2022-2027 และคาดว่าจะมีมูลค่าสูงกว่า 5.5 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 10.39% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ชา จึงไม่ใช่เพียงแค่เทรนด์ที่ฉาบฉวย ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน คุณค่าทางวัฒนธรรม คุณประโยชน์ต่อสุขภาพ และความสามารถในการปรับตัวเข้ากับยุคสมัย ทำให้ชาไม่ได้เป็นเพียงแค่แฟชั่น แต่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างแท้จริง
วิกฤตมัทฉะขาดแคลน เมื่อกระแสสวนทางกับผลผลิต
แม้ว่าอนาคตของอุตสาหกรรมชาจะดูสดใส ทว่าสถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตหลักกลับต้องเผชิญกับวิกฤตการขาดแคลนมัทฉะครั้งใหญ่ ด้วยปัจจัยหลายประการ จากภาวะโลกร้อนส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวน อุณหภูมิที่สูงขึ้นและปริมาณน้ำฝนที่ไม่สม่ำเสมอทำให้ต้นชาเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ คุณภาพและปริมาณใบชาที่ใช้ผลิตมัทฉะจึงลดลง, การลดลงของเกษตรกร จากข้อมูลของกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และการประมงญี่ปุ่น (MAFF) จำนวนเกษตรกรผู้ปลูกชาลดลง จากกว่า 53,000 รายในปี 2000 เหลือเพียง 12,353 รายในปี 2020 เนื่องจากแรงงานรุ่นใหม่หันไปทำงานในภาคส่วนอื่น ประกอบกับกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน และต้องอาศัยทักษะใช้เวลาในการฝึกฝนเรียนรู้ อุปกรณ์ในการผลิตราคาสูง การบดใบชาเป็นผงละเอียด (Stone Grinding) ต้องใช้เวลาและแรงงานสูง ทำให้ไม่สามารถเพิ่มผลผลิตได้ในระยะเวลาอันสั้น
เท่ากับว่า อุปทานส่วนขาดนี้จะทำให้มัทฉะขาดแคลน ทำให้เกิดผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ ราคาของมัทฉะเกรดดีปรับตัวสูงขึ้น ผู้บริโภคและผู้ผลิตบางรายอาจต้องจ่ายแพงขึ้น หรือหันไปเลือกมัทฉะในเกรดรองลงมาแทน
หนทางข้างหน้า หากญี่ปุ่นยังไม่สามารถผลิตมัทฉะได้เพียงพอต่อความต้องการ เราอาจต้องหันไปพึ่งแหล่งผลิตจากประเทศอื่น เช่น จีน เวียดนาม หรือไต้หวัน เพื่อให้ได้ราคาที่ถูกลง แต่ก็อาจแลกมาด้วยคุณภาพมัทฉะที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่คุ้นเคย
ความต้องการที่เพิ่มขึ้นและอุปทานที่ลดลง ส่งผลให้ตลาดมัทฉะในอนาคตจะเต็มไปด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น ผู้ผลิตและร้านค้าจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ ซึ่งจะนำไปสู่โอกาสในการเติบโตที่น่าจับตามองในตลาดโลกต่อไป
เขียนและเรียบเรียง : โพธิยา พาภักดี phothiyap@arip.co.th
ติดตาม Business+ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG : https://www.instagram.com/businessplus.th/
Youtube : https://www.youtube.com/@thebusinessplus7829
#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus #Business