The Success Story of The Month By ‘Business Plus’ ฉบับเดือนตุลาคม 2568 จะพาผู้อ่านมาพบกับบทสัมภาษณ์สุดพิเศษจาก ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ถึงเรื่องราวและเบื้องหลังของ “ศุภาลัย” บริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่เติบโตอย่างมั่นคงและโดดเด่น จากประสบการณ์ของท่านจนเกิดเป็นศิลปะแห่งการนำองค์กรให้ก้าวไปอย่างแข็งแกร่ง
เมื่อเอ่ยถึงความสำเร็จในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ในปีที่ผ่านมา ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า “ศุภาลัย” คือหนึ่งในบริษัทที่เติบโตอย่างมั่นคง โดดเด่นทั้งในแง่ผลประกอบการ กลยุทธ์ธุรกิจ และจริยธรรมในการดำเนินงาน ซึ่งทั้งหมดสะท้อนถึงวิสัยทัศน์อันเฉียบคมของ ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งนำประสบการณ์ของท่านมาหล่อหลอมจนเกิดศาสตร์บริหารที่ยืดหยุ่นและครอบคลุมในรูปแบบการจัดการล้ำสมัย (Post Modern Management)
หลักการผสมผสานทักษะต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างสมดุล เพื่อสร้าง Management Art ที่ปรับใช้ได้กับสถานการณ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าการแข่งขันของตลาดจะเปลี่ยนไปอย่างไร องค์กรของคุณก็จะอยู่รอดปลอดภัยและแข็งแกร่ง ท่ามกลางพายุของเศรษฐกิจที่ถาโถมเข้ามา
ถ้ามองจากสถานการณ์ปัจจุบันของตลาดอสังหาริมทรัพย์ จะพบว่า Developer หลายแบรนด์ กลับทำผลงานได้ลดลง แต่สำหรับบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ยังรักษาสมดุลของการแข่งขันและเส้นทางการรักษาผลกำไรและยอดขายได้อย่างน่าชื่นชม
กองบรรณาธิการถาม ดร.ประทีป ว่า ในสถานการณ์นี้ ทำไม บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ยังรักษาขีดความสามารถการแข่งขันเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งท่านก็เฉลยว่า ผมยึดหลักการบริหาร “Low Risk High Return” ผสานกับแนวทางบริหาร คล่องตัวยืดหยุ่น (Dynamic Flexible ซึ่งบริหารองค์กรให้ประสบผลสำเร็จมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ดร.ประทีป ยังคงทำงานสัปดาห์ละ 7 วัน และมักจะมีไอเดียทางธุรกิจใหม่ ๆ มาคุยกับผู้บริหารและทีมงานตลอดเวลา “ผมเป็นคนทำงานแล้วสนุก ผมถึงยังทำอยู่ ถ้าผมไม่สนุก ผมก็เลิก ผมก็รีไทร์แล้ว” ดร.ประทีปกล่าว
ถึงตรงนี้เราได้เห็นภาพของบุคคลต้นแบบ ซึ่งเริ่มต้นจากการเป็นสถาปนิก สู่การเป็น “ผู้นำ” องค์กรที่ทำกำไรสุทธิสูงสุดของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหุ้นไทย และมีมูลค่าส่วนของผู้ถือหุ้นสูงที่สุดหรือเป็นบริษัทแข็งแรงที่สุดนั่นเอง
โอกาสนี้ Business+ จึงชวน ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มาถ่ายทอดเรื่องราวและเบื้องหลังของ “ศุภาลัย” ในทุก ๆ มิติ แล้วทุกท่านจะค้นพบว่า “ศุภาลัย” นำทุกกระบวนการตั้งแต่พนักงาน ฝ่ายต่าง ๆ และผู้บริหาร ที่เน้นการพัฒนาคุณภาพสินค้าและสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบการสร้าง Brand Value ที่แข็งแกร่ง
เรื่องราวทั้งหมด กับหัวข้อ “ถอดรหัสกลยุทธ์และศาสตร์การบริหาร กับ ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม : ศิลปะแห่งการนำองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน” ที่ทุกท่านพลาดไม่ได้ ด้วยประการทั้งปวง…
เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจ สู่อสังหาฯ หมื่นล้าน
เรื่องราวของศุภาลัย เริ่มต้นขึ้นเมื่อกว่า 36 ปีที่แล้ว จากชายหนุ่มผู้มาจากครอบครัวธุรกิจค้าไม้และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งได้ซึมซับความรู้พื้นฐานมาตั้งแต่เด็ก ประกอบกับความหลงใหลในศิลปะและสถาปัตยกรรมที่เขาเลือกเรียนในรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “ผมเป็นคนที่ชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก ๆ” ดร.ประทีปเล่าถึงความทรงจำในวัยเยาว์ ก่อนจะขยายความต่อว่า
“ผมชอบเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งแต่พีระมิด กำแพงเมืองจีน และจากความรักในศิลปะการออกแบบและโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่ในวัยเด็ก ก็เป็นรากฐานสำคัญที่นำพาเขาเข้าสู่เส้นทางแห่งวงการสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งตัวเองมองว่า เป็นการสร้างให้คนมีความสุข และหลังจากจบจากสถาปัตย์ จุฬาฯ ผมไปทำงานกับรุ่นพี่ ส่งประกวดแบบบ้านของเสนานิเวศน์ ซึ่งผมเป็นคนออกแบบแล้วก็ได้ที่หนึ่ง”
และความสำเร็จเล็ก ๆ นี้เอง ได้จุดประกายให้เขาเห็นถึงความสำคัญของที่อยู่อาศัย และเชื่อว่า เมืองไทยกำลังต้องการที่อยู่อาศัยสมัยใหม่ที่ดีจำนวนมาก
หลังจากสั่งสมประสบการณ์จากการทำงานระยะหนึ่ง เขาตัดสินใจเดินทางไปศึกษาต่อด้าน “Housing” ที่ University of Illinois เพื่อเพิ่มพูนทักษะความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบที่อยู่อาศัย และเมื่อบวกกับประสบการณ์จากการทำงานร่วมกับพี่ชายในธุรกิจบ้านจัดสรรกว่า 12 ปี ทำให้เขาได้เห็นถึงช่องว่างในตลาด และโอกาสในการสร้างแบรนด์ที่แตกต่าง จนเกิดการตัดสินใจครั้งสำคัญเกิดขึ้นในการก่อตั้ง บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
“ศุภาลัย” แบรนด์ที่ก่อกำเนิดจากปรัชญาที่ลึกซึ้ง
ชื่อของ “ศุภาลัย” เป็นชื่อที่ผ่านการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนจากหลักการ 10 ข้อที่ ดร.ประทีป คิดขึ้นเอง ซึ่งมีเคล็ดลับว่า “ผมอยากได้แบรนด์เป็นภาษาไทย อยากจะให้มันไม่ยาวนักไม่เกิน 3 พยางค์ จะได้เรียกง่าย ให้มีความหมายที่ดี ให้มีความหมายเกี่ยวกับธุรกิจที่ทำ” สุดท้ายเขาได้คำว่า “ศุภาลัย” ซึ่งมาจากคำว่า “ศุภะ” ที่แปลว่า ดีงาม ประเสริฐ และ “อาลัย” ที่แปลว่า ที่อยู่อาศัย และเมื่อรวมกันจึงมีความหมายที่ชัดเจนว่า “ที่อยู่อาศัยที่ดีงาม”
ความที่ ดร.ประทีป เป็นสถาปนิกโดยพื้นฐาน ทำให้สามารถเข้าใจโครงการได้แบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยไม่ต้องพึ่งที่ปรึกษาภายนอกมากนัก ท่านสามารถประเมินการออกแบบโครงการต่าง ๆ ได้ภายในหนึ่งหรือสองวัน เพื่อลดเวลาและลดความเสี่ยงในการตัดสินใจ และยังกระจายแนวคิดนี้ไปยังทีมงานในฝ่ายจัดหาที่ดิน และพัฒนาโครงการให้มีทั้งความรู้เชิงธุรกิจ (MBA) และความเข้าใจด้านการออกแบบ ทำให้การวิเคราะห์โครงการมีความแม่นยำและรวดเร็ว
นอกจากนี้ ศุภาลัย วางกลยุทธ์ “แบรนด์เดียว” ในการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าทุกระดับ ซึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์ต่างทราบดีว่า หลายแบรนด์เลือกใช้กลยุทธ์ Brand หลากหลาย สำหรับโครงการต่าง ๆ กันไป แต่ ศุภาลัย กลับยึดแนวทางที่เรียบง่ายและชัดเจน ด้วยการใช้เพียงแบรนด์โครงการเป็นชื่อเดียวกันกับชื่อบริษัท คือ “ศุภาลัย” ในทุกโครงการที่เปิดขาย และผลที่ตามมา ไม่ใช่แค่การลดต้นทุนการตลาดได้มากถึง 200-300 ล้านบาทต่อปี แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์เดียวที่แข็งแรง และส่งผลต่อความจงรักภักดีของลูกค้า ซึ่งกลยุทธ์นี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในระยะยาว และการบริหารแบรนด์แบบมีระบบ ไม่ตามกระแส
ปรัชญาและกลยุทธ์ที่สร้างความแตกต่าง
นอกจากชื่อ “ศุภาลัย” ที่มีความหมายอันเป็นมงคลแล้ว ศุภาลัยยังยึดมั่นในปรัชญาองค์กรที่ใช้ตัวย่อภาษาอังกฤษ SPL ซึ่งเป็นแก่นแท้ที่หล่อหลอมองค์กรมาตลอด 36 ปี โดยความหมายของชื่อที่แข็งแกร่งนี้ เป็นก้าวแรกของการสร้างแบรนด์ และตามมาด้วยปรัชญาการทำงานที่เรียกว่า SPL ซึ่งเป็นตัวย่อภาษาอังกฤษ
S – Superiority หมายถึง คุณภาพและบริการที่ดีเยี่ยม ทั้งในตัวสินค้า บริการ และการจัดการ
P – Profitability หมายถึง การสร้างผลกำไรเพื่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้ถือหุ้น แต่ครอบคลุมถึงลูกค้าที่ได้ความสุขและมูลค่าเพิ่มจากบ้านที่ซื้อไป ซัปพลายเออร์ที่เติบโตไปพร้อมกับบริษัท และพนักงาน รวมถึงการทำประโยชน์เพื่อสังคม
L – Longevity หมายถึง ความยั่งยืนและมั่นคงของบริษัทในระยะยาว ดร.ประทีปตั้งเป้าหมายให้ศุภาลัยเป็นบริษัทที่อยู่ได้นานเป็นร้อยปี
ดร.ประทีป เผยว่า ปรัชญา SPL มีความคล้ายคลึงกับคำอวยพรของคนทั่วโลกที่ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง ร่ำรวย และอายุยืนยาว และยังคล้ายกับหลัก “ฮกลกซิ่ว” ของจีนโดยบังเอิญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า หลักการที่เขายึดถือนั้นเป็นสากลและเป็นที่ยอมรับในทุกวัฒนธรรม
‘Low Risk, High Return’ และความแข็งแกร่งทางการเงิน
อย่างที่ทราบดีว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง แต่เชื่อหรือไม่ว่า ศุภาลัย กลับเป็นอีกหนึ่งบริษัทอสังหาฯ ที่มีความแข็งแกร่งทางการเงินมากที่สุดแบรนด์หนึ่งในตลาด ซึ่ง ดร.ประทีป ระบุว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นตลาดที่มีผู้ประกอบการจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การบริหาร ศุภาลัย เราวางหลักการสำคัญที่ใช้ในการบริหาร คือ “Low Risk, High Return” หรือเสี่ยงน้อย แต่ได้ผลตอบแทนสูง
เขาอธิบายว่า วิธีการลดความเสี่ยงคือ การศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและใช้เวลา ไม่ใช่การทำอะไรโดยขาดการไตร่ตรอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เศรษฐกิจชะลอตัว ดอกเบี้ยสูง และกำลังซื้อของผู้บริโภคอ่อนแอ ซึ่ง
ศุภาลัย จะเน้นการพัฒนาบ้านที่ “ดีที่สุดในราคาที่ลูกค้าซื้อได้” ถึงแม้จะอยู่ในช่วงที่ท้าทาย แต่ ศุภาลัย ก็ยังคงพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง
ในด้านการบริหารจัดการ ศุภาลัย มุ่งเน้นการเปรียบเทียบผลประกอบการทางการเงิน (Financial Ratio) กับบริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ทุกปี จากการเปรียบเทียบย้อนหลังทุกช่วง 5 ปี พบว่า ศุภาลัย มีผลประกอบการที่ดีที่สุดเสมอ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความแข็งแกร่งด้านการเงินของบริษัท โดย ดร. ประทีป เชื่อว่า การทำเช่นนี้จะช่วยให้องค์กรทราบถึงจุดอ่อนหรือช่องว่างที่ต้องพัฒนา และไม่หลงระเริงกับความสำเร็จที่เกิดขึ้น ทำให้ศุภาลัยสามารถพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม การจะทำให้ตัวชี้วัดทางการเงิน (Financial Ratio) ดีขึ้นนั้น ต้องมีเคล็ดลับ โดยหลักการของศุภาลัย คือ การพัฒนาแบบก้าวไปทีละขั้น พัฒนาไปทีละสเต็ปอย่างมั่นคง เพื่อให้มั่นใจว่า การเติบโตจะยั่งยืนไม่ใช่การก้าวกระโดดแบบรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้ล้มลงมาได้
“อะไรที่เสี่ยงมาก เราจะไม่ทำ และเราจะดำเนินการทุกอย่างด้วยความรอบคอบ และศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดที่สุดก่อนตัดสินใจ” ดร.ประทีป กล่าวพร้อมชี้ว่า “ผมชอบของใหม่ ๆ นะครับ แต่วิธีลดความเสี่ยงคือ เราต้องศึกษาให้ละเอียด ต้องใช้เวลา ซึ่งผมให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ มิติ อาทิ ทุกปีจะมีการจัดประกวดนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมให้พนักงานคิดสิ่งใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเดิม ทั้งในด้านคุณภาพ เวลา หรือการลดต้นทุน เป้าหมายสูงสุดคือ การส่งมอบสินค้าที่มีราคาถูกลง เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์”
นอกจากนวัตกรรมแล้ว การบริหารความเสี่ยง เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของศุภาลัย โดย ดร.ประทีป กล่าวว่า “การทำของให้ดี ก็เป็นการลดความเสี่ยง เพราะหากสินค้าไม่มีคุณภาพก็อาจขายไม่ดี ดังนั้น บริษัทฯ จึงยึดมั่นในคุณภาพมาตรฐานสากล ISO และมาตรฐาน มอก. ในทุกขั้นตอน รวมทั้งการทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมายและศีลธรรม โดยจะไม่ทำในสิ่งที่จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชุมชนรอบข้าง การทำเช่นนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาต่าง ๆ ที่อาจตามมา”
ในขณะที่มิติด้านการเงิน ต้องถือว่า ศุภาลัย ทำตัวได้อย่าง “แข็งแรงที่สุด” เช่นเดียวกับคนที่ดูแลสุขภาพที่แข็งแรงมากที่สุด และต้องถือว่า บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน เป็นบริษัทที่แข็งแรงที่สุดในบรรดาบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากมีทุนมากที่สุด และการเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งทำให้สามารถทำโครงการขนาดใหญ่ได้ และช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินได้
ด้วยความที่ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) วาง Business Model ในการดำเนินธุรกิจกระจายความเสี่ยงด้วยการขยายธุรกิจไปในต่างจังหวัด เพิ่มเติมการมีสินค้าและบริการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่ง ดร.ประทีป ให้เหตุผลว่า “ให้มองเป็น 2 มิติ มิติแรก ในบางกรณี ยอดขายในเขตเมืองมีปัญหาที่นอกเหนือการควบคุม อาทิ หากเกิดประสบปัญหาน้ำท่วม ศุภาลัย ก็สามารถดำเนินธุรกิจในภูมิภาคอื่นที่ไม่มีปัญหาได้ ซึ่งหลายคนประเมินว่า เรากระจายความเสี่ยง แต่มิติที่ลึกกว่านั้น คือ เราขยายธุรกิจไปได้มากขึ้น”
“เราเป็นบริษัทที่พัฒนาโครงการในภูมิภาคมากที่สุด โดยมีโครงการใน 31 จังหวัดทั่วประเทศ โดยการกระจายตัวนี้ ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ ด้วย ซึ่งในบางจังหวัดที่อาจยังไม่มีคู่แข่งรายใหญ่เข้าไป แต่เรา (ศุภาลัย) สามารถเข้าไปตอบสนองความต้องการของผู้ที่มีกำลังซื้อได้ อาทิ จังหวัดนครสวรรค์ ศุภาลัยสามารถขายโครงการได้หลายร้อยล้านบาทในเดือนแรก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การบุกเบิกในหัวเมืองต่างจังหวัดเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยให้บริษัทเติบโต”
ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ การขยายกิจการออกไปต่างประเทศของศุภาลัย ในฐานะหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ได้แสดงให้เห็นถึงการขยับตัวเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญ เมื่อเลือกขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดออสเตรเลีย ซึ่งมีโครงการที่กำลังพัฒนาอยู่ถึง 24 โครงการใน 6 เมือง
การตัดสินใจครั้งนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อการลงทุนในโครงการใหม่ หากแต่เป็นการสร้างฐานธุรกิจที่มีความหลากหลายมากขึ้นในเชิงภูมิศาสตร์ และเป็นการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญต่ออนาคตขององค์กร
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย แม้จะมีขนาดใหญ่และศักยภาพสูง แต่ก็เต็มไปด้วยความผันผวน ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศ อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มผันแปร รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากภาระหนี้ ดังนั้น การมุ่งหน้าสู่ตลาดออสเตรเลีย จึงช่วยให้ศุภาลัยสามารถสร้างสมดุลระหว่างรายได้ในประเทศกับรายได้จากต่างประเทศ และยังเปิดทางสู่การเข้าถึงตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและเสถียรภาพด้านกฎหมายการลงทุนที่เข้มแข็งและมั่นคง
ออสเตรเลีย ถือเป็นหนึ่งในตลาดอสังหาฯ ระดับโลกที่มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเมืองหลักอย่างซิดนีย์และเมลเบิร์น ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการลงทุน ความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่ในระดับสูง เนื่องจากอัตราการขยายตัวของประชากรและผู้อพยพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเข้ามาลงทุนของศุภาลัยจึงไม่ใช่เพียงการหาตลาดใหม่ แต่เป็นการเข้ามามีส่วนแบ่งในระบบนิเวศอสังหาริมทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว ซึ่งสามารถช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของศุภาลัยในตลาดทุน
การขยายตัวสู่ต่างประเทศยังมีผลดีในเชิงภาพลักษณ์ที่ชัดเจน บริษัทไทยที่สามารถลงทุนและดำเนินธุรกิจได้ในตลาดที่มีมาตรฐานเข้มงวดเช่นออสเตรเลีย ย่อมสะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารจัดการ และเป็นการยกระดับแบรนด์ “Supalai” จากผู้พัฒนาอสังหาฯ ภายในประเทศ ไปสู่สถานะของการเป็นบริษัทระดับสากลที่พร้อมแข่งขันในระดับภูมิภาค นี่คือการเปลี่ยนสถานะจาก Local Champion ไปสู่ Global Player ที่สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน
นอกจากมิติด้านรายได้และแบรนด์แล้ว ประโยชน์อีกประการที่สำคัญ คือ การได้เรียนรู้และนำเอามาตรฐานการก่อสร้าง เทคโนโลยีการออกแบบ และข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมของออสเตรเลียมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาโครงการในประเทศไทย เนื่องจากออสเตรเลียมีเกณฑ์ด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืนที่เข้มงวดกว่าหลายประเทศ ประสบการณ์เหล่านี้จึงสามารถกลายเป็น “ทุนทางความรู้” ที่ศุภาลัยนำกลับมาใช้สร้างความแตกต่างและเพิ่มคุณค่าในโครงการที่อยู่อาศัยในไทยได้ แต่ขณะเดียวกัน เราก็ได้แนะนำสิ่งดี ๆ ที่เราทำในเมืองไทยไปประยุกต์ใช้ในออสเตรเลียด้วย
ในระยะยาว การขยายธุรกิจไปต่างประเทศยังเป็นการสร้างฐานรายได้ที่มั่นคง ผ่านการลงทุนที่ต่อเนื่องและการพัฒนาโครงการที่ตอบสนองความต้องการของตลาดท้องถิ่น โดยเฉพาะในเมืองที่มีความต้องการสูงและโครงสร้างประชากรเอื้อต่อการลงทุน ศุภาลัยสามารถใช้กลยุทธ์นี้สร้างความต่อเนื่องด้านรายได้ที่ไม่ขึ้นอยู่กับรอบเศรษฐกิจไทยเพียงอย่างเดียว และช่วยให้บริษัทก้าวข้ามข้อจำกัดของตลาดในประเทศที่มีการแข่งขันสูงและพื้นที่พัฒนาโครงการใหม่เริ่มมีข้อจำกัด
ท้ายที่สุด สิ่งที่การขยายธุรกิจไปยังออสเตรเลียสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนก็คือ วิสัยทัศน์เชิงรุกของผู้บริหารศุภาลัย การมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดที่มีศักยภาพสูงเป็นการยืนยันว่า องค์กรไม่ได้พอใจอยู่เพียงกับความสำเร็จในประเทศ แต่พร้อมที่จะท้าทายตนเองและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว การก้าวเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ออสเตรเลียจึงไม่ใช่เพียงโครงการลงทุน แต่เป็นก้าวแห่งการวางรากฐานสู่การเป็นบริษัทอสังหาฯ ไทยที่สามารถยืนหยัดในเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิ
ถึงตรงนี้ ดร.ประทีป เน้นย้ำว่า ทุกการดำเนินงานที่บอกมานั้น ศุภาลัย ได้ก้าวข้ามการเป็นเพียงบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไปแล้ว โดยความหมายในที่นี้คือ เราเป็นบริษัทที่พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน หมายความว่า ศุภาลัย วางแนวคิดการพัฒนาสินค้าบริการให้คนอยู่บ้าน อยู่คอนโดแล้วมีความสุขกับครอบครัว ส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัวเกิดขึ้นอย่างมีความสุข
เขายกตัวอย่างว่า “ในโครงการของศุภาลัยมีพื้นที่ส่วนกลางที่ส่งเสริมให้สมาชิกครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน หรือให้เพื่อนบ้านได้มาพบปะกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ เป็นต้น
คำกล่าวนี้ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งในแก่นแท้ของที่อยู่อาศัย ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โครงสร้างทางกายภาพ แต่คือ หัวใจของชีวิตที่ผู้คนใช้สร้างความสุขและความทรงจำร่วมกัน โดยภาพลักษณ์ที่สื่อออกมา
นั่นก็คือ “ศุภาลัย เป็นบริษัทพัฒนาคุณภาพทุกช่วงชีวิต”
ทิ้งท้ายกับประเด็นที่น่าติดตามว่า อนาคตตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยมุมมองของ ดร.ประทีป ประเมินว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยกว่า 70% เป็นที่อยู่อาศัย แม้ประชากรจะลดลง แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ก็ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะจากกลุ่มคนที่มีรายได้สูงขึ้น สมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้น หรือการขยายตัวของเมืองและเส้นทางคมนาคม
สำหรับแนวโน้มการเติบโตในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ยังคงเติบโตได้ จากการเติบโตจะสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ โดยกำลังซื้อของผู้บริโภคจะแปรผกผันกับอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ทุกปีจะมีความต้องการใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ ซึ่ง ศุภาลัย ได้ตอบสนองด้วยการขยายโครงการไปทั่วประเทศกว่า 30 จังหวัด เพื่อเข้าถึงความต้องการของคนในหัวเมืองต่างจังหวัด
“Worst Case Scenario ผมมองว่า ขึ้นอยู่กับมุมมองและการประเมินของแต่ละผู้ประกอบการ แต่สำหรับเราอย่างที่ผมบอกว่า ทุกปีจะมีความต้องการใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ และเราก็เตรียมพร้อมอยู่เสมอเช่นกัน มาถึงคำถามสำคัญว่า ถ้าเราพร้อม เราก็ต้องฟิตร่างกายอยู่เสมอ (หมายถึง ศุภาลัย) และสำหรับผม ยังคงทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ โดยไม่มีวันหยุด”
“ผมเป็นคนทำงานแล้วสนุก ผมถึงยังทำอยู่ ถ้าผมไม่สนุกผมก็เลิกผมก็รีไทร์แล้ว คำกล่าวนี้ ผมอยากจะบอกทิ้งท้ายว่า งานเป็นสิ่งที่สร้างความสุข ดังนั้น ทุกวันก็ได้ออกแบบสิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ
ผมยึดถือหลัก “อิทธิบาท 4” ซึ่งเป็นสูตรแห่งความสำเร็จของพุทธศาสนามาเป็นแนวทางในการทำงาน คือ ฉันทะ (รักในสิ่งที่เราทำ), วิริยะ (มีความเพียรพยายาม), จิตตะ (เอาใจใส่) และวิมังสา (ไตร่ตรองหาเหตุผล)”
หากลองมองผ่านมิติการบริหารและการสร้างธุรกิจจากคำกล่าวข้างต้น จะพบว่า ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ใช้ 4 หลักการนี้บริหาร ศุภาลัย อย่างแยบยล ประกอบด้วย
ฉันทะ (ความรักและความพอใจในสิ่งที่ทำ) คือ ท่านเริ่มสร้างศุภาลัยจากความฝันที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้คนไทยเข้าถึงได้ ท่านไม่ได้มองเพียงเรื่องกำไร แต่มี “ฉันทะ” คือความรักในวิชาชีพสถาปัตยกรรมและการพัฒนาเมือง จึงสามารถสร้างผลงานที่มีคุณค่าทั้งในเชิงธุรกิจและสังคมได้อย่างยั่งยืน ความพอใจในสิ่งที่ทำนี้เองทำให้ศุภาลัยไม่ใช่แค่บริษัทพัฒนาโครงการเพื่อขาย แต่เป็นองค์กรที่มีอัตลักษณ์และอุดมการณ์
วิริยะ (ความเพียรพยายามไม่ย่อท้อ) โดยเส้นทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่เคยราบรื่น ตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 จนถึงวิกฤต Covid-19 แต่ศุภาลัยกลับสามารถประคับประคองกิจการและขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จุดนี้สะท้อนว่า ดร.ประทีปมี “วิริยะ” อย่างเต็มเปี่ยม ไม่ยอมแพ้ต่อสถานการณ์ และเลือกที่จะปรับกลยุทธ์เพื่อต่อสู้กับความท้าทายอย่างสร้างสรรค์
จิตตะ (การเอาใจใส่ มีสมาธิ และความตั้งใจมั่น) ผ่านความละเอียดรอบคอบของท่านที่แสดงออกชัดในเรื่องการบริหารต้นทุน การจัดการทางการเงิน และการออกแบบโครงการที่ตอบโจทย์ลูกค้า เขามี “จิตตะ” ในการบริหารงานทุกขั้นตอน ทำให้ศุภาลัยเป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อว่ามีความแข็งแรงทางการเงินและไม่ใช้ความเสี่ยงเกินตัว ความตั้งใจมั่นนี้เองที่สร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งนักลงทุน ลูกค้า และคู่ค้า
วิมังสา (การใช้ปัญญาพิจารณา การไตร่ตรอง และการทดลอง) โดยการที่ศุภาลัยสามารถคิดค้นรูปแบบโครงการใหม่ ๆ และแม้กระทั่งกล้าขยายไปลงทุนต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย แสดงถึง “วิมังสา” ของผู้นำองค์กร ที่ไม่เพียงอาศัยความรู้เชิงวิชาชีพเท่านั้น แต่ยังกล้าวิเคราะห์ ทดลอง และประเมินผลอยู่เสมอ การใช้ปัญญานี้ทำให้การตัดสินใจของ ดร.ประทีป ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระแส แต่ยืนอยู่บนเหตุผลและความรอบคอบ
หากสรุปอย่างสั้นได้ว่า ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม คือภาพสะท้อนของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้วยการปฏิบัติ “อิทธิบาท 4” อย่างครบถ้วน ทั้งฉันทะที่เป็นแรงบันดาลใจ วิริยะที่ไม่ย่อท้อ จิตตะที่เอาใจใส่ในรายละเอียด และวิมังสาที่กล้าคิดกล้าทดลอง
สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาไม่เพียงเป็นผู้ก่อตั้งธุรกิจใหญ่ แต่ยังเป็นผู้นำที่สร้างความยั่งยืน ทั้งต่อองค์กรและวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เป็นตัวอย่างของผู้นำธุรกิจที่มีทั้งความเฉียบแหลมด้านกลยุทธ์ ความรอบรู้ในวิชาชีพ และความมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณค่าให้แก่ทั้งองค์กร ผู้บริโภค และสังคม อย่างมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย
เขียนและเรียบเรียง : ยุพาพร คุณานันท์
ติดตาม Business+ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG : https://instagram.com/businessplus.th
Youtube : https://www.youtube.com/@thebusinessplus7829
#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus #Business