‘สุกี้ตี๋น้อย’ กำไรทะลุ 1,100 ล้าน เฉลี่ยโตปีละ 100% ตั้งแต่เปิดร้านแรก

นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก “สุกี้ตี๋น้อย” โดยความน่าสนใจอย่างหนึ่งของร้านนี้คือนับตั้งแต่ที่สุกี้ตี๋น้อยเปิดสาขาแรกในปี 2561 จนมาถึงปัจจุบัน บริษัทสร้างกำไรให้เติบโตได้เฉลี่ยปีละ 107% หรือปีละ 2 เท่า เลยทีเดียว ซึ่งมีน้อยธุรกิจที่จะทำได้แบบนี้

โดยเจ้าของสุกี้ตี๋น้อยคือบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งมีคุณเฟิร์น-นัทธมน พิศาลกิจวนิช เป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร โดยผลประกอบการนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทและมีการรับรู้รายได้มาคือ

ปี 2562 รายได้ 499 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท

ปี 2563 รายได้ 1,223 ล้านบาท กำไร 140 ล้านบาท

ปี 2564 รายได้ 1,572 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท

ปี 2565 รายได้ 3,976 ล้านบาท กำไร 591 ล้านบาท

ปี 2566 รายได้ 5,262 ล้านบาท กำไร 907 ล้านบาท

ปี 2567 รายได้ 7,075 ล้านบาท กำไร 1,169 ล้านบาท

พอมาคำนวณแล้ว ตัวเลขรายได้ของบริษัทจะเติบโตขึ้นเฉลี่ยปี 56% ส่วนกำไรเองก็โตเฉลี่ยปี 107% เช่นกัน เคสธุรกิจของสุกี้ตี๋น้อยจึงน่าสนใจไม่น้อย หลาย ๆ คนคิดว่า ร้านอาหารถ้าอร่อยหรือมีน้ำจิ้มสูตรเด็ดก็สามารถไปรอดได้ แต่จริง ๆ แล้วการสร้างแบรนด์ที่แตกต่างและการคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน และยังเป็นตัวกำหนดผู้ชนะในระยะยาว

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ก่อนที่จะมีสุกี้ตี๋น้อยก็มีร้านอื่น ๆ ที่ขายบุฟเฟต์ชาบูเหมือนกัน แต่สุกี้ตี๋น้อยฉีกตัวออกจากคู่แข่งโดยการสร้างจุดขายผ่านการตั้งเวลาปิดร้านไว้ที่ตี 5 ทำให้สามารถเปิดตลาดใหม่ไปจับกลุ่มผู้บริโภคที่ทำงานตอนกลางคืนหรือคนชอบนอนดึกได้ ต่างกับร้านอาหารส่วนใหญ่ที่มักเปิดปิดตามเวลาปกติ

นอกจากนี้เอง จุดแข็งอีกอย่างของสุกี้ตี๋น้อยคือการเน้นเปิดสาขาในพื้นที่นอกห้างฯ และเปิดร้านแบบสแตนด์อโลนแบบมีที่จอดรถก่อนในช่วงแรก ซึ่งจะมีข้อดีตรงที่บริษัทจะสามารถประหยัดต้นทุนค่าสถานที่ เพราะการเปิดสาขาใหม่ในห้างฯ จะใช้เงินทุนที่สูงกว่า ทั้งจากค่าสถานที่และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ไม่เหมาะกับร้านที่ยังมีแบรนด์ไม่แข็ง อีกทั้งการมีที่จอดรถก็เป็นอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ขับรถมาที่ใช้บริการที่ร้านมากขึ้นอีกด้วย

ส่วนเรื่องต้นทุนถ้าเราไปดู ตัวเลขทางการเงินต่าง ๆ ของบริษัทเทียบกับคู่แข่งก็จะได้ว่า

ร้านสุกี้ตี๋น้อย

ปี 2562 รายได้ 499 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 31.5% อัตรากำไรจากการดำเนินงาน 3.8%

ปี 2563 รายได้ 1,223 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 45.8% อัตรากำไรจากการดำเนินงาน 14.4%

ปี 2564 รายได้ 1,572 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 45.3% อัตรากำไรจากการดำเนินงาน 11.8%

ปี 2565 รายได้ 3,968 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 46% อัตรากำไรจากการดำเนินงาน 18.6%

ปี 2566 รายได้ 5,244 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 51.9% อัตรากำไรจากการดำเนินงาน 21.4%

ปี 2567 รายได้ 7,029 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 52.9% อัตรากำไรจากการดำเนินงาน 20.9%

ร้านลัคกี้สุกี้

ปี 2565 รายได้ 80 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 30% อัตรากำไรจากการดำเนินงาน 5%

ปี 2566 รายได้ 409 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 45.7% อัตรากำไรจากการดำเนินงาน 14.1%

ปี 2567 รายได้ 1,015 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 44.8% อัตรากำไรจากการดำเนินงาน 13.4%

ร้านเจริญรสชาบู

ปี 2565 รายได้ 24 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 33.3% อัตรากำไรจากการดำเนินงาน 20.8%

ปี 2566 รายได้ 56 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 37.5% อัตรากำไรจากการดำเนินงาน 19.6%

ปี 2567 รายได้ 136 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 36.7% อัตรากำไรจากการดำเนินงาน 8.8%

จะเห็นได้ว่าสุกี้ตี๋น้อยยังสามารถคุมต้นทุนได้ดีอยู่ ถึงแม้จะเป็นร้านบุฟเฟต์ราคาเดียว ส่วนหนึ่งมาจากการที่เมื่อบริษัทขยายสาขาสาขาไปมากขึ้นก็ทำให้มีการประหยัดต่อขนาดมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ในขณะที่บรรดาคู่แข่งอย่างร้านลัคกี้สุกี้และเจริญรสชาบูยังไม่สามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรจากการดำเนินงานได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากการที่ทั้งสองแบรนด์กำลังอยู่ช่วงต้นของการเร่งขยายสาขาอยู่ จึงยังไม่สามารถลีนได้เท่าไรนัก

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องยอมรับว่า สุกี้ตี๋น้อยเองก็สามารถทำได้ดีในแง่ของการออกเมนูที่ถูกปากผู้บริโภคด้วย และยังมีการควบคุมคุณภาพวัตถุดิบผ่านครัวกลางและไม่ใช้แฟรนไชส์ขยายสาขา อีกทั้งยังมีเมนูที่หลากหลายในราคาเริ่มที่ต้นที่เพียง 219 บาท เท่านั้น (ปรับเพิ่มจาก 199 บาทตอนเปิดร้านช่วงแรก) ทำให้ผู้บริโภคอยากกลับมากินซ้ำ ๆ หรือในโอกาสพิเศษ

สรุปแล้ว สุกี้ตี๋น้อยก็เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ประกอบการที่สร้างคอนเซปต์ที่แตกต่าง จนทำให้สามารถขึ้นนำคู่แข่งในตลาดที่มีสินค้าคล้าย ๆ กันได้ แต่สำหรับธุรกิจร้านอาหารนั้น ผู้ชนะมักจะไม่สามารถครองตลาดได้นานนัก เพราะผู้เล่นใหม่สามารถเข้ามาและยังถูกกอปปีย์คอนเซปต์ได้ง่าย จึงต้องติดตามกลยุทธ์ใหม่ ๆ ของสุกี้ตี๋น้อยต่อในอนาคต

ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ผู้เขียนและเรียบเรียง: พรบวร จิรภัทร์วงศ์