คุณทราบแน่ชัดหรือไม่ว่า ความเหนื่อยล้าทางจิตใจของบุคลากร กำลังบั่นทอนกำไรขององค์กรคุณไปในอัตราเท่าไร ?
ในโลกธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลและผลตอบแทนจากการลงทุน สิ่งเดียวที่ยังคงเป็น สินทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้ (Invaluable Asset) คือ พลังงานและศักยภาพของบุคลากร และในฐานะผู้นำที่มุ่งสู่ความสำเร็จ เราเชื่อว่า คุณตระหนักดีถึงสัญญาณเตือนจากข้อมูลเชิงกลยุทธ์ คือ 91% ของบุคลากรมีความเสี่ยงต่อภาวะ Burnout (Deloitte, 2024) และนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของบุคคล แต่เป็นความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ที่คุกคามนวัตกรรมและความสามารถในการปรับตัว (Agility) ขององค์กรโดยตรงว่า การแก้ปัญหาแบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้เราจะทราบดีว่า อุปสรรคขององค์กรในตอนนี้คือ การเกิดภาวะ Burnout ผู้นำองค์กรต้องเตรียมแผนการจัดการความเครียด ไปสู่การออกแบบสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความสำเร็จ ซึ่งงานวิจัยจาก BCG (2023) พิสูจน์แล้วว่า การลงทุนใน Wholebeing (สุขภาวะองค์รวม) อย่างเป็นระบบ คือเส้นทางที่ตรงที่สุดในการเพิ่มผลกำไรได้สูงถึง 10%
SPIRE Model พิมพ์เขียวแห่ง Behavioral Design สำหรับผู้นำ
เนื้อหาใน Issue นี้ ผู้เขียนจะมาบอกถึงแผนการจัดการความเครียด ไปสู่การออกแบบสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความสำเร็จได้ดีขึ้น กับ SPIRE Model ซึ่งเป็นกรอบคิดจาก Dr. Tal Ben-Shahar แห่ง Harvard University ในมุมมองของ Behavioral Design ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการปรับพฤติกรรมเชิงบวกขององค์กรชั้นนำทั่วโลก ที่ช่วยให้คุณเปลี่ยน Work-Life Balance แบบเดิม ๆ ให้กลายเป็น Work-Life Synergy ที่มีพลังขับเคลื่อนและวัดผลได้ ที่สำคัญจะเป็นก้าวสำคัญสู่การสร้าง Antifragile Organization ที่เติบโตได้แม้ในภาวะวิกฤต
SPIRE คือการออกแบบ “สภาพแวดล้อมที่กระตุ้นพฤติกรรม” (Nudging Environment) โดยอาศัยหลักการทางจิตวิทยา เพื่อให้พฤติกรรมที่นำไปสู่ Wholebeing เกิดขึ้นได้ง่ายที่สุดใน 5 มิติหลัก ประกอบด้วย
| มิติ (Dimension) | Behavioral Insight :
พฤติกรรมศาสตร์เพื่อองค์กร |
กิจกรรมที่ส่งผลต่อกลยุทธ์ HR โดยตรง |
| S – Spiritual (จุดมุ่งหมาย) | Meaningful Work : ความผูกพันที่แข็งแกร่งที่สุดมาจากการรับรู้ถึงคุณค่าและผลกระทบของงานที่มีต่อโลก (Self-Transcendence) | “Purpose-Driven Metrics” : กำหนดตัวชี้วัดที่เชื่อมโยงผลงานของทีมเล็ก ๆ เข้ากับพันธกิจที่ยิ่งใหญ่ขององค์กร เพื่อให้ทุกคนเห็น “ร่องรอยการสร้างความแตกต่าง” ของตนเองอย่างชัดเจน (กลยุทธ์ : เพิ่มความผูกพันและลด Turnover Rate) |
| P – Physical (สุขภาพกาย) | Effortless Action : การปรับพฤติกรรมต้องง่ายจนแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม และถูกฝังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกออกแบบมาแล้ว | “Movement Nudges” : ออกแบบผังสำนักงานให้มีจุดกระตุ้นการเคลื่อนไหว (เช่น จุดพิมพ์เอกสารที่อยู่ไกลออกไป, โต๊ะประชุมแบบยืน) และนำเสนอ “Focus Breaks” สั้น ๆ เพื่อฟื้นฟูพลังงานสมอง (กลยุทธ์ : เพิ่มความตื่นตัวและประสิทธิภาพในการทำงาน) |
| I – Intellectual (ความคิดและการเรียนรู้) | Novelty and Reward : สมองจะกระตุ้นการเรียนรู้เมื่อเผชิญกับสิ่งใหม่และได้รับรางวัลทางจิตใจจากการค้นพบ | “Curiosity Budget” : จัดสรรงบประมาณและเวลาสำหรับบุคลากรในการสำรวจและเรียนรู้ทักษะที่ “ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง” กับงานปัจจุบัน เพื่อเปิดพื้นที่ให้เกิด ความคิดสร้างสรรค์แบบข้ามสายงาน (กลยุทธ์ : ส่งเสริม Innovation และความคล่องตัวของบุคลากร) |
| R – Relational (ความสัมพันธ์) | Psychological Safety : ความไว้วางใจเกิดจากการ “เปิดเผยความเปราะบาง” (Vulnerability) และการสื่อสารที่เน้นการรับฟังอย่างเห็นอกเห็นใจ (Empathy) | “Authentic Dialogue Training” : ฝึกฝนผู้นำในการสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับการพูดคุยที่ยากลำบาก และจัด “Feedback Flow Sessions” ที่เน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงสร้างสรรค์อย่างสม่ำเสมอ (กลยุทธ์ : เสริมสร้าง Team Cohesion และลดความขัดแย้ง) |
| E – Emotional (อารมณ์และความรู้สึก) | Emotional Regulation : ความสามารถในการจัดการอารมณ์ขึ้นอยู่กับการ “ตระหนักรู้ในตนเอง” และการมีกลไกตอบสนองต่อความเครียดที่รวดเร็ว |
“Moment of Reflection Protocol” : กำหนดให้มีการทำ “Check-in” ทางอารมณ์แบบสั้น ๆ ก่อนเริ่มการตัดสินใจที่สำคัญ และส่งเสริมการใช้เครื่องมือ Mindfulness ที่เน้นการเพิ่มสมาธิในการทำงาน |
“SPIRE ไม่ใช่แค่โมเดลด้าน Wellbeing หากแต่เป็น Behavioral Operating System ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้พฤติกรรมที่ดีต่อชีวิตและงานเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เป็นโมเดลที่ถูกนำไปใช้จริงทั้งในบริษัท Fortune 500, หน่วยงานภาครัฐ และสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วโลก เพราะมันไม่ได้เปลี่ยนแค่บุคคล แต่เปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่หล่อเลี้ยงพฤติกรรมของทั้งองค์กร
และเมื่อมองผ่านเลนส์ของ Behavioral Design จะเห็นว่า SPIRE ไม่ได้สอนให้เราฝืนตัวเองเพื่อผาสุก แต่สอนให้เราบริหารแรงเสียดทาน (Friction) ระหว่างชีวิตกับงาน ด้วยการออกแบบบริบทใหม่ทั้งระบบ เพื่อให้พฤติกรรมที่นำไปสู่ Wholebeing เกิดขึ้นง่ายที่สุด โดยมีชายคาใหญ่ห้าหลังที่รองรับความเป็นมนุษย์ทั้งด้านในและด้านนอก ได้แก่ Spiritual, Physical, Intellectual, Relational และ Emotional
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ SPIRE ไม่ได้ตั้งใจเป็นโมเดลด้านสุขภาพจิตเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสร้างองค์กรแบบ Antifragile หรือ องค์กรที่ไม่เพียง “รับมือ” กับความเสี่ยง แต่ “เติบโตจากความปั่นป่วน” ด้วยพลังจากผู้นำและพนักงานที่แข็งแรงจากภายใน
ภายใต้กรอบคิดนี้ ผู้นำยุคใหม่ไม่ได้ถูกวัดผลจากการบริหารคนเก่ง แต่ถูกวัดผลจากความสามารถในการออกแบบระบบ นโยบาย เวิร์กโฟลว์ และวัฒนธรรมให้กลายเป็น Nudging Environment ที่ผลักดันทุกคนไปสู่ศักยภาพสูงสุดโดยไม่ต้องสั่งหรือบังคับใด ๆ
ความยืดหยุ่นที่เหนือกว่า Antifragile Organization
การนำกรอบคิด SPIRE และ Behavioral Design มาประยุกต์ใช้ คือการสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางธุรกิจ” ที่แข็งแกร่ง
ผู้นำที่ลงทุนใน Wholebeing คือผู้นำที่สร้าง Antifragile Organization องค์กรที่ไม่เพียงแต่ทนทานต่อแรงกระแทกทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี แต่ยังสามารถเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นได้จากความวุ่นวายนั้น เพราะบุคลากรมีพลังและเครื่องมือพร้อมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลงสู่การขับเคลื่อนศักยภาพสูงสุด
ความสำเร็จที่สมบูรณ์แบบในยุคนี้ ต้องมาจากการผนวกกลยุทธ์ทางธุรกิจ เข้ากับการดูแลสุขภาวะองค์รวมของบุคลากรอย่างแยกไม่ออก
หากคุณพร้อมที่จะเปลี่ยน “ความผาสุก” ให้เป็น “ความได้เปรียบในการแข่งขัน” ผ่านการออกแบบโปรแกรม Wholebeing ที่พิสูจน์ผลลัพธ์ได้จริงและสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ ทีมงาน BCon ยินดีเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของคุณ เราพร้อมนำความเชี่ยวชาญด้าน Behavioral Science มาช่วยคุณ ยกระดับ องค์กรสู่ความเป็นเลิศอย่างยั่งยืน
ความสำคัญของ SPIRE ไม่ได้อยู่ตรงที่ว่ามันทำให้เรารู้จักมิติของชีวิตทั้งห้า หากแต่อยู่ที่การทำให้ผู้นำเข้าใจว่า “ผู้นำที่ดีต้องออกแบบโครงสร้างแวดล้อมให้คนทำสิ่งที่ดีได้ง่ายขึ้น” การออกแบบห้องประชุม วิธีสื่อสาร ช่องทาง Feedback รูปแบบการตัดสินใจ ช่องว่างของเวลา การให้สิทธิการพักผ่อน หรือแม้กระทั่งรูปแบบการมอบหมายงาน
ทั้งหมดล้วนเป็น Behavioral Triggers ที่กำหนดคุณภาพชีวิตของพนักงาน และสะท้อนคุณภาพการเติบโตขององค์กร และในยุคที่คำว่า Productivity ไม่ได้หมายถึงการทำงานหนักแต่หมายถึงการทำงานอย่างมีพลัง การนำ SPIRE เข้ามาเป็น Blueprint ของ Behavioral Design คือการสร้างสถาปัตยกรรมใหม่ขององค์กร ที่ไม่ได้สร้างเฉพาะผลลัพธ์ แต่สร้างระบบชีวิตที่ดีให้คนทำงานสามารถเติบโตพร้อมกับงานที่เติบโต
นี่คือหัวใจของ Work-Life Synergy ซึ่งไม่ใช่การแบ่งเวลา แต่เป็นการผสานคุณค่าจากงานและชีวิตเข้าด้วยกันจนกลายเป็น “ระบบพลังร่วม” ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน และนี่เองคือรากฐานของ Antifragile Organization องค์กรที่ไม่เพียงยืนหยัดเมื่อเผชิญวิกฤต แต่ยิ่งแกร่งและเฉียบคมขึ้นทุกครั้งที่ต้องเผชิญความไม่แน่นอน
เขียนและเรียบเรียง : สาวิตรี ตรีอรุณ Sales Executives บริษัท Business Consultants South East Asia Co., Ltd
ติดตาม Business+ : https://www.thebusinessplus.com/
Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS
IG : https://instagram.com/businessplus.th
Youtube : https://www.youtube.com/@thebusinessplus7829
#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus #Business
The Business Plus บิสิเนสพลัส

