แบรนด์ขนมขบเคี้ยวในไทยที่เรารู้จักกันดี มีรายได้เท่าไหร่ต่อปี?

ตลาดขนมขบเคี้ยวไทยกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือด โดยยอดขายปี 2568 อาจจะเติบโตเพียง 1.5% เหลือ 49,550 ล้านบาท เทียบกับปีที่แล้วมีการเติบโตถึง 4.7% ซึ่งสาเหตุหลักๆมาจากการแข่งขันที่รุนแรง ทั้งจากผู้เล่นภายในประเทศเอง และจากสินค้านำเข้าที่ตีตลาด และยังมีอีกหนึ่งปัจจัยลบคือพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาเลือกสินค้าที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น และโครงสร้างสังคมที่เปลี่ยนไป จำนวนประชากรไทยลดลงและจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ทำให้ 5 ปีข้างหน้าคาดว่าการบริโภคขนมขบเคี้ยวของไทยอาจโตต่ำเฉลี่ย 3% ต่อปี (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)

ทั้งนี้หากดูข้อมูลจะพบว่า ปัจจุบันผู้เล่นในตลาดขนมขบเคี้ยวของไทยมีจำนวนมากกว่า 298 ราย มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่สูงราว 20-35% ส่วนหนึ่งมาจากราคาวัตถุดิบที่เป็นสินค้าเกษตรที่มีราคาไม่สูง ทำให้สร้างมูลค่าเพิ่มได้ดี จึงจูงใจให้มีผู้เล่นเข้าสู่ตลาดจำนวนมากและทำให้ตลาดขนมขบเคี้ยวมีการแข่งขันรุนแรง

โดยปัจจัยการแข่งขันที่รุนแรงมาจากผู้เล่นรายใหญ่ด้วยกันเองเป็นหลัก เพราะบริษัทรายใหญ่มี Economy of Scale รวมถึงมีสินค้าหมุนเวียนตลอด อีกทั้งรายใหญ่ยังบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายด้านการตลาดได้ จึงสามารถจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายได้สม่ำเสมอ นำไปสู่การรับรู้แบรนด์ของผู้บริโภคและหนุนให้เกิดการบริโภค ขณะที่ผู้เล่นรายเล็กจะแข่งขันในตลาดได้ยากกว่าเพราะมีเงินทุนหมุนเวียนน้อยกว่า

นอกจากนี้แล้วการแข่งขันที่รุนแรงอีกส่วนหนึ่งมาจากขนมขบเคี้ยวนำเข้าที่หลากหลาย และยังมีอาหารฟาสต์ฟู้ดสัญชาติจีนและเกาหลีอย่างไก่ทอดซึ่งเป็นที่นิยมมากของคนไทยก็เข้ามาตีตลาดไทยเพิ่มขึ้น ถึงแม้ตอนนี้ขนมขบเคี้ยวนำเข้าจะยังมีปริมาณไม่มาก แต่ข้อมูลตั้งแต่ปี 2564-2567 พบว่า ปริมาณการนำเข้าขนมปังกรอบและเวเฟอร์รวมโตเฉลี่ย 2.1% ต่อปี และช่วง 3 เดือนแรกปี 2568 ก็เติบโตไปมากถึง 12.5% ซึ่งนั่นจะทำให้การแข่งขันในไทยยิ่งยากลำบากขึ้นไปอีก

ทีนี้มาดูตลาดส่งออกกันบ้าง โดยพบว่าาไทยส่งออกขนมขบเคี้ยวสัดส่วนปริมาณราว 18% โดยในปี 2564-2567 ปริมาณส่งออกขนมขบเคี้ยวไทยโตต่ำเฉลี่ย 1.2% ต่อปี และแม้ว่าในช่วง 2 เดือนแรกปี 2568 จะเติบโตพุ่ง 28.9% แต่ยังต้องเจอการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะในตลาดจีน ที่มีทั้งแบรนด์ขนมเก่าและใหม่ในตลาดจำนวนมากอีกทั้งยังมีราคาถูก จะกดดันการส่งออกขนมขบเคี้ยวของไทย

ในปัจจุบันเราสามารถแบ่งประเภทขนมขบเคี้ยวไทยเป็น 3 กลุ่มตามยอดขาย

– กลุ่มขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด เป็นตลาดใหญ่ที่สุด ประกอบด้วย มันฝรั่งทอดกรอบและขนมขึ้นรูป โดยในปี 2568 ยอดขาย ขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ด คาดว่าจะโต 0.7% แม้จะเป็นกลุ่มที่โตน้อยกว่าภาพรวมตลาด แต่ขนมกลุ่มนี้มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง (Brand Power) ทำให้ผู้บริโภคภักดีต่อแบรนด์สูง จึงช่วยรักษายอดขายให้ยังครองส่วนแบ่งตลาดใหญ่ที่สุด

– กลุ่มขนมปังกรอบ และบิสกิต (แครกเกอร์ คุ้กกี้ และเวเฟอร์) คาดว่ายอดขายจะโต 2.6% สูงกว่าภาพรวมตลาดในปี 2568 ที่โต 2.6% แรงหนุนจากความเป็นเมืองที่มีความเร่งรีบในการบริโภคเพื่อรองท้องหรือทดแทน มื้ออาหารหลัก และจำนวนร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่เพิ่มขึ้น

– กลุ่มขนมที่ทำมาจากสาหร่าย/เนื้อสัตว์/ธัญพืช คาดยอดขายจะโต 1.9% ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากกระแสรักสุขภาพเป็นหลัก

ถึงแม้ขนมขบเคี้ยวบางประเภทจะยังเห็นการเติบโตอยู่ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของภาษีความเค็ม ซึ่งภาครัฐอยู่ระหว่างศึกษาการจัดเก็บภาษีความเค็มในขนมขบเคี้ยวด้วยการกำหนดเกณฑ์ปริมาณโซเดียมที่จะจัดเก็บให้เป็นรูปธรรมในปี 2568 โดยรูปแบบการจัดเก็บจะเป็นสัดส่วนอัตราภาษีขั้นบันได ซึ่งจะกระทบยอดขายขนมขบเคี้ยวของไทย

และยังมีเงื่อนไขหรือกฏเกณฑ์ส่งออกของประเทศคู่ค้า อย่างเช่น ฮังการีได้มีการเก็บภาษีความเค็มจากขนมขบเคี้ยวที่มีเกลือสูงในอัตรา 0.8 ยูโรต่อเกลือ 1 กิโลกรัม ประเด็นนี้ก็มีการคาดการณ์ว่าจะทำให้ยอดขายขนมขบเคี้ยวลดลง 12%

ปิดท้ายกันด้วยตัวอย่างเจ้าของแบรนด์ขนมขบเคี้ยวที่เรารู้จักกันดีว่าเป็นของบริษัทอะไรกันบ้าง

snack

– บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ตัวอย่างขนมที่ได้รับความนิยมสูง : ปลาหมึกอบเบนโตะ, ขนมขาไก่โลตัส, ขนมคุกกี้สับปะรด เบเกอรี่เฮาส์, ขนมเวเฟอร์ช็อคกี้ รายได้ปี 67 อยู่ที่ 5,983 ล้านบาท กำไรสุทธิ 651 ล้านบาท (อยู่ในตลาดหุ้นไทย)

– บริษัท สยามร่วมมิตร จำกัด ตัวอย่างขนมที่ได้รับความนิยมสูง : ฮานามิ ข้าวเกรียบรวยเพื่อน , สแน็คแจ๊ค , คอร์นพัฟ ,คุกกี้ อาร์เซนอล รายได้ปี 67 อยู่ที่ 2,188 ล้านบาท กำไรสุทธิ 169.41 ล้านบาท

– บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ตัวอย่างขนมที่ได้รับความนิยมสูง : มันฝรั่งทอดกรอบ เทสโต, ข้าวอบกรอบ โดโซะ, เม็ดมะม่วงหิมพานต์เคลือบ, ขนมอบกรอบเคลือบรสช็อกโกแลต แคมปัส รายได้ปี 67 อยู่ที่ 170,925 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4,001 ล้านบาท (อยู่ในตลาดหุ้นไทย)

– บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PM ตัวอย่างขนมที่ได้รับความนิยมสูง : ขนมขบเคี้ยวปลาเส้น ทาโร (TARO) , ลูกอมโอเล่ ,ขนมชินมัย ,บันบัน รายได้ปี 67 อยู่ที่ 4,950 ล้านบาท กำไรสุทธิ 600 ล้านบาท (อยู่ในตลาดหุ้นไทย)

– บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ตัวอย่างขนมที่ได้รับความนิยมสูง : ปลาเส้นฟิชโช (Fisho) และขนมแบรนด์ โมโนริ (Monori) รายได้ปี 67 อยู่ที่ 139,571 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4,985 ล้านบาท (อยู่ในตลาดหุ้นไทย)

ขนมในเครือยูโรเปี้ยนฟู้ด (บริษัท ยูโรเปี้ยนฟู้ด จำกัด (มหาชน) ตัวอย่างขนมที่ได้รับความนิยมสูง : ยูโร เค้ก ,ปักกิ่ง (Peking) ,โอโจ้ รายได้ปี 67 อยู่ที่ 7,555 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,522 ล้านบาท

บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ตัวอย่างขนมที่ได้รับความนิยมสูง : ขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่าย “เถ้าแก่น้อย” รายได้ปี 67 อยู่ที่ 5,737ล้านบาท กำไรสุทธิ 836.10 ล้านบาท

ที่มา : IQ , เว็บไซต์บริษัท

เรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์

ติดตาม Business+ : https://www.thebusinessplus.com/

Line Business+  : https://lin.ee/pbIHCuS

IG  : https://www.instagram.com/businessplus.newgen2021/

Youtube : https://www.youtube.com/@thebusinessplus7829