สินค้าประเภท Smart Home ได้เริ่มถูกคิดค้นในช่วง ปี 1998-2010 แต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง และยังไม่ได้ถูกรู้จักมากนัก แต่แนวคิดด้าน Smart Home เริ่มเป็นรูปร่าง และชัดเจนขึ้นในปี 2011 หลังจากที่บริษัท NEST LAB (ปัจจุบันเจ้าของคือ Google) ได้เปิดตัวอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิที่รองรับการสื่อสารแบบไร้สาย ซึ่งถือเป็นการทำให้ “Smart Home” ถูกพูดถึงอย่างแท้จริง
โดยประเทศที่เป็นเจ้าตลาดทั้งการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการผลิตอุปกรณ์ Smart Home และสร้างรายได้มากที่สุดอันดับ 1 ของโลกคือสหรัฐฯ และอันดับที่ 2 คือยุโรป ส่วนอันดับที่ 3 ตกเป็นของประเทศจีน
แต่ที่น่าสนใจคือ อัตราการเติบโตของรายได้ Smart Home ของจีนอยู่ที่ 14.36% ต่อปี โดยการประมาณการนี้ถูกคำนวณไปจนถึงปี 2027 นั่นทำให้ในปี 2026 จีนอาจขึ้นมาเป็นผู้นำแทนสหรัฐฯ ด้วยรายได้ระดับ 54,630 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (แซงหน้าสหรัฐฯที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 52,190 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
เพราะสหรัฐฯ นั้นมีอัตราการเติบโตของรายได้ Smart Home เพียง 10.22% ต่างกับจีนถึง 4.14% ซึ่งเพียงพอให้จีนก้าวขึ้นมาแซงหน้าสหรัฐได้ภายในเวลา 3-4 ปี นี้
โดย ‘Business+’ มองกว่าการเติบโตของจีนนั้น สูงกว่าสหรัฐฯ เพราะเทคโนโลยีของจีนได้เติบโตขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด หลังจากที่รัฐบาลจีนได้ส่งเสริมด้านเทคโนโลยีอย่างเข้มงวด โดยมีเป้าหมายคือการเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในด้านเทคโนโลยี
ดังนั้นรัฐบาลจีนจึงอาศัยการขับเคลื่อนทั้งจากภาครัฐและเอกชนไปพร้อม ๆ กัน ทั้งส่งเสริมการสร้างเทคโนโลยีในประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการแข่งขัน สนับสนุนการศึกษา การเฟ้นหาบุคลากรและการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ สู่การเป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกภายในปี 2035
ส่วนเนื้อหาเจาะลึกทาง ‘Business+’ มานำเสนอในเนื้อหาเกี่ยวกับตลาด Smart Home ใน Content ถัดไป รอติดตามได้ที่เว็บไซต์ และแฟนเพจของ ‘Business+’ ได้เลยค่ะ
ที่มา : Statista สำรวจและรวบรวมโดย Business+
เขียนและเรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
#Businessplus #Business #นิตยสารBusinessplus #Smart Home #จีน #สหรัฐฯ #บ้านอัจฉริยะ