เทคโนโลยีเฉพาะทาง กับการรักษาผู้ป่วยกระดูกสันหลังเคสซับซ้อน

ปัญหากระดูกสันหลัง ถือเป็นหนึ่งในความเจ็บป่วยที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องเผชิญกับอาการปวดหลังเรื้อรัง ปวดร้าวลงขา หรือการเคลื่อนไหวที่ยากลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือแม้แต่วัยทำงานในปัจจุบันที่มีแนวโน้มการป่วยเพิ่มจำนวนมากขึ้น และหลายครั้งโรคเหล่านี้ ยังมีอาการผิดปกติแทรกซ้อนเข้ามา อาทิ กระดูกสันหลังเคลื่อนร่วมกับหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น ซึ่งทำให้แนวทางการรักษายิ่งมีความท้าทายมากขึ้นกว่าเดิม

เนื้อหาใน Issue นี้ ผมจะแชร์ประสบการณ์เคสหนึ่งของผู้ป่วยสูงอายุ ที่มีอาการเหล่านี้พร้อมกันถึงสองตำแหน่ง ซึ่งในอดีตแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาได้อย่างปลอดภัย โดยไม่สร้างบาดแผลและความเสี่ยงเพิ่มเติม แต่ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีเฉพาะทางที่ก้าวหน้าขึ้น ภาพเหล่านั้นได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

หากย้อนกลับไป วิธีการผ่าตัดกระดูกสันหลังในอดีต มักเป็นการผ่าตัดแบบเปิดแผลยาวหลายจุด โดยใช้เวลาผ่าตัดนานกว่า 4–5 ชั่วโมง แพทย์จำเป็นต้องตัด “หลังคากระดูกสันหลัง” เพื่อนำหมอนรองกระดูกที่กดทับเส้นประสาทออก กระบวนการเช่นนี้แม้จะแก้ปัญหาได้ในระยะสั้น แต่กลับทิ้งผลข้างเคียงในระยะยาว เนื่องจากโครงสร้างกระดูกถูกทำให้อ่อนแอลง จึงต้องใส่น็อตเชื่อมกระดูกเสริมความมั่นคง หรือในกรณีของผู้สูงอายุ ยังเสี่ยงต่อการเกิดการอักเสบเรื้อรัง หินปูนเกาะรอบน็อต และบางรายต้องกลับมาผ่าซ้ำในอนาคต

ที่สำคัญคือ ความเสี่ยงจากการเสียเลือดมาก ซึ่งอาจเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดผิดปกติหรือเลือดเข้ากันไม่ได้ รวมไปถึงภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เช่น ปอดแฟบจากการนอนนิ่งนานเกินไป สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวต่างมีความกังวลใจต่อการรักษา

อย่างไรก็ตาม เมื่อโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ ได้นำเทคโนโลยีเฉพาะทางที่เรียกว่า MIS Spine หรือ Minimally Invasive Spine Surgery มาเข้ามาใช้ในประเทศไทย ในยุคแรก สำหรับการรักษาโรคกระดูกสันหลัง พบว่า ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างชัดเจน ไม่เพียงลดบาดแผลในการผ่าตัด แต่ยังช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว และมีภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดน้อยลง จนเทคโนโลยีนี้ เริ่มขยายการใช้ในการรักษาโรคกระดูกสันหลังอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์

ปัจจุบัน โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ ได้นำเทคโนโลยี MIS มาใช้ในรูปแบบ ครบวงจร ตั้งแต่การทำเลเซอร์ จี้หมอนรองกระดูก เทคนิคส่องกล้อง รักษาจุดที่มีการกดทับเส้นประสาท ไปจนถึง การผ่าตัดยึดน็อตนำวิถี สำหรับรายที่ต้องจัดแนวกระดูกให้มั่นคง

ทั้งหมดนี้เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดแผลผ่าตัดขนาดใหญ่เหมือนในอดีต แต่ให้ผลลัพธ์การรักษาเทียบเท่ากับการผ่าตัดใหญ่

และเมื่อเทคโนโลยีเฉพาะทาง MIS ถูกนำมาใช้ร่วมกันในเคสซับซ้อน เช่น ผู้ป่วยที่มีทั้งกระดูกสันหลังเคลื่อนและหมอนรองกระดูกปลิ้นสองตำแหน่ง การผ่าตัดที่เคยต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง กลายเป็นใช้เวลาเพียงประมาณสองชั่วโมงครึ่ง การเสียเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ภาวะแทรกซ้อนจากการดมยาสลบลดลง และที่สำคัญที่สุด คือ ระยะเวลาพักฟื้นสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้ป่วยสามารถลุกขึ้นนั่งและขยับตัวได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงต่อปอดแฟบหรือการติดเชื้อ และกลับบ้านได้ภายใน 2–3 วัน ต่างจากวิธีเดิมที่อาจต้องนอนโรงพยาบาลยาวนานหลายสัปดาห์

ข้อมูลจากงานวิจัยนานาชาติยังยืนยันประสิทธิภาพของวิธีเหล่านี้ โดยมีรายงานเปรียบเทียบระหว่าง Endoscopic TLIF กับ MIS-TLIF แบบเดิม พบว่า Endo-TLIF มีการเสียเลือดน้อยกว่า เจ็บหลังผ่าตัดน้อยกว่า และผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วกว่า ขณะที่อัตราการเชื่อมติดของกระดูก (Fusion rate) ก็ใกล้เคียงกันหรือดีกว่าในบางกลุ่ม อีกทั้งยังมีรายงานจากสถาบันในยุโรปและเอเชียที่ชี้ตรงกันว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเทคโนโลยี Endoscopic สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้รวดเร็วกว่าวิธีการผ่าตัดแบบเปิด

นพ.ดิตถพงษ์ อธิบายว่า “เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ดี ไม่ใช่เพียงแค่การมีเครื่องมือที่ทันสมัย แต่ต้องเป็นสิ่งที่เราใช้จริงได้กับผู้ป่วยทุกวัน ต้องปลอดภัย และเหมาะสมกับสภาพร่างกายและโรคของผู้ป่วยแต่ละราย” ซึ่งสิ่งที่คนไข้ต้องการ ไม่ใช่เพียงการหายจากโรค แต่คือการกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจและเร็วที่สุด และการที่โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ เลือกนำเทคโนโลยีเฉพาะทางอย่าง PSLD และ Endo-TLIF เข้ามาใช้ จึงสะท้อนแนวคิดที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง

กรณีศึกษาของผู้ป่วยสูงอายุที่กล่าวถึงในตอนต้นเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่า หากใช้วิธีการแบบเดิม ความเสี่ยงจะสูงมาก ทั้งเรื่องการเสียเลือด การอักเสบ และระยะพักฟื้นที่ยาวนาน แต่เมื่อใช้เทคโนโลยี MIS Spine ทั้งสองเทคนิคประกอบกัน ผลลัพธ์ที่ได้คือ การผ่าตัดสำเร็จด้วยเวลาและแผลที่สั้นลงอย่างมาก ผู้ป่วยไม่เพียงแค่ปลอดภัย แต่ยังฟื้นตัวเร็วและกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

โลกการแพทย์กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และการรักษากระดูกสันหลังเป็นหนึ่งในสาขาที่เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนที่สุด จากเดิมที่ผู้ป่วยต้องแบกรับความเสี่ยงสูงและเวลาฟื้นตัวนาน แต่วันนี้ ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะทางที่แม่นยำและปลอดภัยกว่ามาก การรักษาไม่เพียงแต่แก้โรคได้ แต่ยังคืนคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยได้เร็วและมั่นคงกว่าเดิม

และนี่คือภาพสะท้อนของอนาคตการแพทย์ที่โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ ได้สร้างขึ้น และเป็นบทพิสูจน์ว่า การพัฒนาทางการแพทย์ที่แท้จริง คือ การทำให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างเร็วที่สุด

เขียนและเรียบเรียง : นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์

ติดตาม Business+ : https://www.thebusinessplus.com/

Line Business+  : https://lin.ee/pbIHCuS

IG  : https://www.instagram.com/businessplus.th/

Youtube : https://www.youtube.com/@thebusinessplus7829

#TheBusinessPlus #Businessplus #BusinessPlus #นิตยสารBusinessplus #Business