‘Business Crack’ คราวนี้จะพาไปเจาะข้อมูลธุรกิจพลังงานสะอาดของไทยบ้าง โดยบริบทตลาดพลังงานไทยนั้น ในปี 2562 รัฐบาลได้ออกแผนแม่บทในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ว่าด้วยการจัดหาพลังงานไฟฟ้าในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan: PDP) ระหว่างปี พ.ศ. 2561 – 2580 เพื่อรองรับความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น
แผน PDP คาดการณ์ว่าในปี 2580 ความต้องการพลังงานพลังไฟฟ้าสูงสุดจะอยู่ 53,997 เมกะวัตต์ ในขณะที่ กำลังผลิตไฟฟ้าทั้งสิ้นจะอยู่ที่ 77,211 เมกะวัตต์ โดยความน่าสนใจของแผน PDP นี้ก็คือ พลังงานหมุนเวียนจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในอนาคต โดยเป้าหมายกำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2580 จะอยู่ที่ 18,833 เมกะวัตต์
ด้วยความต้องการพลังงาน ประกอบกับความพยายามผลักดันของรัฐบาลนี้เอง ทำให้พลังงานหมุนเวียนเป็นอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ที่สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศคาดการณ์ว่า การผลิตไฟฟ้าประเภทนี้ทั่วโลกจะเติบโตขึ้นต่อเนื่องจนกลายเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2576
ทั้งนี้ การผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ ขยะ แสงอาทิตย์ ลม และพลังน้ำขนาดเล็ก มีสัดส่วนรวมกัน 10% ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2567 ปรับตัวขึ้นอย่างมากจากเมื่อปี 2557 หรือ 10 ปี ก่อน ที่ตัวเลขนี้อยู่ที่ 2% เท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างพลังงานที่เปลี่ยนไปตามเทรนด์พลังงาน
อย่างไรก็ตาม แม้ความต้องการพลังงานจะเติบโตขึ้นอย่างมากในอนาคต การที่ผู้เล่นหน้าใหม่จะเข้ามาลงเล่นในตลาดนี้เป็นไปได้ยาก เพราะธุรกิจพลังงานโดยรวมต้องใช้เงินลงทุนตั้งต้นที่สูง จากต้นทุนการสร้างโรงไฟฟ้าและที่ดิน รวมไปถึงต้องได้รับการอนุญาตจากภาครัฐด้วย ส่งผลให้โครงสร้างตลาดพลังงานเป็นแบบกึ่งผูกขาด ที่มีผู้เล่นรายใหญ่ไม่กี่ราย
โดยในโพสต์นี้ เราจะพาไปวิเคราะห์เจาะลึกลงไปดูกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ของพลังงานหมุนเวียนแต่ละประเภท ได้แก่ แสงอาทิตย์ ชีวมวล น้ำ และลม พร้อมกับวิเคราะห์โมเดลธุรกิจไปด้วย
ตลาดพลังงานแสงอาทิตย์แข่งขันสูงที่สุด เพราะลงทุนต่ำและคืนทุนเร็ว
แสงอาทิตย์เรียกได้ว่าเป็นตลาดที่แข่งขันสูงที่สุด จากต้นทุนลงทุนเริ่มต้นที่ต่ำ เพราะในช่วงที่ผ่านมา ต้นทุนแผงโซลาร์ปรับตัวต่ำลงอย่างมาก ส่งผลให้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดและคืนทุนได้เร็วที่สุดด้วย
อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ก็มีข้อเสียก็คือมีปัจจัยความจุต่ำที่สุดในบรรดาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน แปลว่าโรงไฟฟ้าสามารถผลิตไฟฟ้าจริงได้น้อยเมื่อเทียบกับกำลังการผลิตติดตั้ง เพราะมีข้อจำกัดเยอะ เช่น ปริมาณการผลิตไฟฟ้าขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและช่วงเวลาของวัน
สำหรับบริษัทไทยที่มีกำลังการผลิตติดตั้งสูงที่สุดก็คือบมจ. ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น หรือ SUPER ที่มีรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในขณะที่บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) และกัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) มีรายได้หลักมาจากไฟฟ้าพลังงานอื่น
ความน่าสนใจอีกอย่างคือ ทั้งสามบริษัทดังกล่าวต่างมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนาม ยกตัวอย่างเช่น BGRIM ที่มีโครงการโรงไฟฟ้าอยู่จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ Dau Tieng และ Phu Yen TTP ซึ่งที่บริษัทไทยต่างพากันไปเปิดโรงไฟฟ้าที่เวียดนามก็เพราะว่ารัฐบาลเวียดนามมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานของบริษัทต่างชาติ สอดคล้องกับความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาที่ดินและค่าแรงยังถูกกว่า เมื่อเทียบกับประเทศไทย
ผู้ผลิตน้ำตาล ครองส่วนแบ่งการตลาด พลังงานชีวมวล
การผลิตไฟฟ้าพลังงานชีวมวลมีต้นทุนขายสูงที่สุดในบรรดาพลังงานสะอาดทั้งหมด เนื่องจากต้องใช้วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรในการผลิตไฟฟ้าแต่ละหน่วย ยกตัวอย่างเช่น เศษไม้ แกลบ ฟางข้าว ชานอ้อย กากมันสำปะหลัง ในขณะที่เจ้าของพลังงานสะอาดชนิดอื่นแทบจะไม่ต้องลงทุนนำ “เชื้อเพลิง” มาเติมในการผลิตไฟฟ้าแต่ละหน่วยเลย
ด้วยธรรมชาติของธุรกิจนี้เองทำให้ไม่ค่อยมีบริษัทพลังงานสนใจลงมาลงเล่นนัก จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ผลิตรายใหญ่ของไทยจะเป็นบริษัทที่มีธุรกิจหลักเป็นการผลิตน้ำตาล เพราะมีวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรจำนวนมากจากการผลิตสินค้าหลักของบริษัท
โดยผู้ผลิตรายใหญ่สุดของไทย 2 อันดับแรกอยู่ในเครือกลุ่มน้ำตาลมิตรผลและไทยรุ่งเรือง ในขณะที่อันดับที่ 3 คือยักษ์พลังงานอย่าง กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์
ถ้าเราลองเปรียบเทียบงบการเงินโรงไฟฟ้าชีวมวลกับโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนประเภทอื่นดูก็จะพบว่า พลังงานชีวมวลมีอัตรากำไรสุทธิที่ค่อนข้างต่ำ โดย 3 บริษัทข้างต้นมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 20 – 30% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ไม่รวมปีที่ขาดทุน) ในขณะที่ธุรกิจพลังงานน้ำและลมจะมีอัตรากำไรที่สูงมากกว่า 80% มาจากโมเดลธุรกิจที่แตกต่างกัน
บริษัทไทย รับนโยบายพลังงานลาว เปิดโรงงานพลังงานน้ำ ลงทุนสูง คืนทุนช้า
การสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังน้ำต้องลงทุนเป็นมูลค่ามหาศาลและยังมีระยะเวลาคืนทุนที่นานมาก ทำให้เป็นธุรกิจพลังงานทดแทนที่มีความเสี่ยงที่สุด
ด้วยเหตุผลข้อนี้ ประกอบกับการที่รัฐไม่ค่อยสนับสนุนการสร้างโครงการขนาดใหญ่และเสียงต่อต้านด้านสิ่งแวดล้อมจากการไถป่าสร้างเขื่อน ทำให้ไม่ค่อยมีบริษัทไทยสร้างโครงการน้ำขนาดใหญ่ในไทยเลย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลประเทศลาวได้เล็งเห็นข้อดีของภูมิประเทศตัวเองที่มีแม่น้ำโขงและพื้นที่น้ำอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งพลังงานน้ำยังมีเสถียรภาพสูง ไม่ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศอย่างพลังงานแสงอาทิตย์และลม ทางรัฐบาลจึงได้พยายามดึงดูดบริษัทพลังงานผ่านมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้มาตั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อผลิตเพื่อการส่งออกไปยังอาเซียน ประกอบกับการที่รัฐบาลไทยเองก็ได้มีการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากลาวด้วย
ด้วยเหตุนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่พลังงานของไทยจึงได้เริ่มไปตั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เพื่อผลิตไฟฟ้าขายให้ทั้งลาวและกลับมาไทย ซึ่งเมื่อมีทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในระยะยาวแล้ว ก็เป็นการลดความเสี่ยงให้แก่ผู้ประกอบการด้วย
สำหรับบริษัทที่มีกำลังการผลิตสูงสุดก็คือ บมจ. ซีเค พาวเวอร์ ของกลุ่มช. การช่าง ที่มีการร่วมทุนกับรัฐบาลลาวเพื่อเปิดโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 และโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ที่มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนผู้ถือหุ้นที่ 829 เมกะวัตต์
พลังงานลม มาร์จิ้นสูง คืนทุนเร็ว ใช้พื้นที่ไม่เยอะ แต่ลงทุนตั้งต้นสูง
สำหรับธุรกิจไฟฟ้าพลังงานลม หากลองไปดูงบการเงินของบริษัทผู้ผลิตใหญ่สุด 3 รายของไทย (บมจ. ราช กรุ๊ป ที่ไม่เปิดเผยข้อมูล) ก็จะพบว่า มีอัตรากำไรสุทธิที่สูงถึงประมาณ 90% หรือมากกว่า
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะธรรมชาติของธุรกิจพลังงานลมจะต้องลงทุนเป็นเงินก้อนใหญ่ก่อนช่วงแรก เพื่อสร้างกังหันลมและระบบโครงสร้างต่าง ๆ เสียก่อน แล้วหลังจากนั้น บริษัทจะมีกระแสรายได้เข้ามาเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่าง ๆ ยกเว้นแต่ค่าซ่อมบำรุงในบางช่วงระยะเวลาเท่านั้น
นอกจากนี้เอง โรงงานพลังงานลมยังมีข้อดีตรงที่สามารถคืนทุนได้เร็ว และยังใช้พื้นที่ในการสร้างน้อย เมื่อเทียบกับพลังงานทดแทนอื่น ๆ จึงทำให้เป็นหนึ่งในพลังงานทดแทนที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าพลังงานลมมีข้อจำกัดค่อนข้างเยอะเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เสถียรภาพของพลังงาน ที่ขึ้นอยู่กับลมในแต่ละช่วง ในขณะที่ตำแหน่งที่ตั้งของโครงการก็มีความสำคัญอย่างมากต่อประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าเช่นกัน
ที่มา: รายงานประจำปีของบริษัท, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, กระทรวงพลังงาน, กฟผ., IEA, คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน, ttb analytics, Boston Consulting Group
เขียนและเรียบเรียง: พรบวร จิรภัทร์วงศ์
#BusinessPlus
#BusinessCrack
#ธุรกิจ
#พลังงานทดแทน