จากกรณีที่ นิสสัน มอเตอร์ (Nissan Motor) และ ฮอนด้า มอเตอร์ (Honda Motor) 2 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นได้เปิดเผยถึงแผนธุรกิจที่กำลังเจรจาเพื่อควบรวมกิจการกัน เพื่อรับมือกับการแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลกที่รุนแรง
ซึ่งนิสสัน และ ฮอนด้า จะจัดตั้งบริษัท Holding ร่วมกัน ภายหลังจากการควบรวมจะส่งผลให้เกิดเป็นบริษัทรถยนต์ที่มีปริมาณการผลิตรถยนต์ได้มากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก (ที่มา : Nikei) จากส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการควบรวม และการผนึกกำลังเป็นพันธมิตรด้านการผลิตรถยนต์นั้น อาจจะทำให้บริษัทฯ ใหม่มีความสามารถทางการแข่งขันท้าชน เทสลา (Tesla Inc) จากสหรัฐฯ และ บีวายดี (BYD) จากประเทศจีนได้
ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทย 5 อันดับแรกก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนภายหลังจากการควบรวม โดยปัจจุบันแบรนด์ที่ครองอันดับ 1 คือ TOYOTA ด้วยส่วนแบ่งการตลาด (ม.ค.-ต.ค.) ที่ 38.30% อันดับที่ 2 ISUZU ส่วนแบ่ง 15.00% ส่วน HONDA นั้นมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 3 ที่ 13.10% และ NISSAN อยู่อันดับที่ 8 ส่วนแบ่งการตลาด 1.70%
ทั้งนี้เมื่อนำส่วนแบ่งการตลาดของทั้ง 2 แบรนด์ในไทยมารวมกันจะเท่ากับว่าอันดับของส่วนแบ่งจะขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 หายใจรถต้นคออันดับ 1 อย่าง TOYOTA ทันที และแซงหน้า ISUZU ขึ้นมาได้
อย่างไรก็ตามเนื่องจาก Nissan เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ Mitsubishi ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 24% จึงมีการคาดการณ์กันว่าบริษัทใหม่ที่จะควบรวมนั้นจะรวม Mitsubishi Motors เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งด้วย ซึ่งจะยิ่งทำให้ส่วนแบ่งการตลาดบริษัทควบรวมนี้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ทาง ‘Business+’ จึงได้ทำการสำรวจและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของส่วนแบ่งการตลาดภายหลังการเปลี่ยนแปลงธุรกิจครั้งนี้เอาไว้ โดยข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงเป็นดังนี้
ที่มา : TOYOTA , NISSON , สภาอุตฯ
เรียบเรียง : พรรณรุ้ง คุ้มพงษ์พันธ์
ติดตามผ่าน TikTok ได้ที่ : https://www.tiktok.com/@thebusinessplus
Line Business+ : https://lin.ee/pbIHCuS