N.A.P. Security Guard จากธุรกิจครอบครัวสู่เป้าหมายองค์กรความปลอดภัยระดับประเทศ

เมื่อธุรกิจครอบครัวที่เคยยืนหยัดในสายงานบริการทำความสะอาดต้องเผชิญวิกฤตโควิด-19 อย่างรุนแรง การตัดสินใจกระจายความเสี่ยงและขยายเข้าสู่ธุรกิจรักษาความปลอดภัยจึงกลายเป็นจุดหมายสำคัญที่ไม่เพียงช่วยพยุงธุรกิจ แต่ยังวางรากฐานสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและการมุ่งสู่ตลาดทุนในอนาคต

ดร.จรุงพันฑ์ เชนยะวณิช กรรมการบริหาร บริษัท รักษาความปลอดภัย เอ็น.เอ.พี. จำกัด (NAP Security Guard) ได้เปิดเผยข้อมูลกับทาง Bussiness Plus ว่า NAP Security Guard ถือกำเนิดจากการปรับตัวครั้งใหญ่ของธุรกิจครอบครัว ที่เดิมทีดำเนินงานด้านบริการทำความสะอาดและได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตโควิด-19 เมื่อรายได้ลดลงจนผู้บริหารจำเป็นต้องหาทางออกใหม่ ที่ไม่เพียงพยุงธุรกิจ แต่ยังต้องสร้างความยั่งยืนระยะยาว และจึงตัดสินใจกระจายความเสี่ยงด้วยการขยายสู่ธุรกิจด้านรักษาความปลอดภัยและบริการอาคารแบบครบวงจร โดยอาศัยฐานลูกค้าเดิมที่เชื่อมั่นในคุณภาพและความเป็นมืออาชีพเป็นสะพานในการขยายบริการ ทำให้สามารถเข้าสู่ตลาดใหม่ได้อย่างรวดเร็วและลดต้นทุนการขายลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่ใช่เพียงการเพิ่มไลน์ธุรกิจ แต่คือการสร้างเสาหลักทางรายได้ใหม่ ที่ลดการพึ่งพาตลาดเดียวและเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทสามารถยืนหยัดท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจได้อย่างมั่นคง

โดยความสำเร็จนี้ เกิดจากการออกแบบระบบการบริหารจัดการที่ไม่ได้ยึดติดกับคนเพียงคนเดียว แต่สร้างมาตรฐานที่สามารถตรวจสอบได้และโปร่งใสในทุกขั้นตอน ผ่านการนำระบบ HR, CRM และเครื่องมือดิจิทัลเข้ามาครอบคลุมการทำงาน พร้อมกำหนดนโยบายว่า การสื่อสารที่เกินหนึ่งนาทีต้องถูกบันทึกเป็นอีเมลเพื่อลดความคลาดเคลื่อน ทำให้ทุกการอนุมัติและการแก้ปัญหามีหลักฐานที่ชัดเจนและย้อนตรวจสอบได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยง ทั้งจากความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ และจากความเป็นไปได้ในการทุจริต ขณะเดียวกันก็สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยึดหลักความเป็นมืออาชีพและความรับผิดชอบ ซึ่งถือเป็นหัวใจของการสร้างความน่าเชื่อถือในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยโดยตรง

และเมื่อมองในมิติของบุคลากร NAP ตระหนักว่า พนักงานไม่ใช่แรงงานที่สามารถหมุนเวียนแทนกันได้ แต่คือทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ที่ต้องได้รับการลงทุนอย่างจริงจัง จึงสร้างศูนย์ฝึกอบรมที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย มีหลักสูตรที่ออกแบบขึ้นเอง ตรวจสอบประวัติและสุขภาพผู้เข้าฝึกพร้อมจัด Career Path ให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมีเส้นทางเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มทักษะและคุณภาพการทำงาน สร้างแรงจูงใจและความผูกพันในระยะยาว ทำให้อัตราการลาออกลดลงอย่างเห็นได้ชัด และลูกค้าได้รับประโยชน์จากการที่พนักงานซึ่งเข้ามาให้บริการมีมาตรฐานและความเป็นมืออาชีพสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม

โดยอีกหนึ่งจุดแข็งที่โดดเด่น คือ การลงทุนในเทคโนโลยี ซึ่ง NAP ไม่ได้มองกล้องวงจรปิดเป็นเพียงอุปกรณ์เสริม แต่ยกระดับให้เป็นหัวใจของการขยายธุรกิจ ด้วยการติดตั้งกล้อง AI เชื่อมโยงเข้าสู่ Control Room ที่มอนิเตอร์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมฟังก์ชันวิเคราะห์ภาพขั้นสูง เช่น License Plate Recognition, Motion Detection, Heat Map และ Voice-to-Text ซึ่งช่วยให้การตรวจจับและการตอบสนองรวดเร็วและแม่นยำ สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า และเปิดทางให้บริษัทสามารถขายบริการมูลค่าเพิ่มในรูปแบบแพ็กเกจ ที่รวมบริการรักษาความปลอดภัย การติดตั้งระบบกล้อง AI และบริการกำจัดศัตรูพืชในสัญญาเดียว ซึ่งช่วยลดภาระของลูกค้าและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง

ขณะเดียวกัน ในมิติทางการเงินและวิสัยทัศน์ ผู้บริหารได้ตั้งเป้าหมายระยะยาวว่า จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายใน 6–7 ปี โดยมีเป้าการเติบโตปีละ 20–30% และเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น บริษัทสร้างระบบวัดผลที่เป็นรูปธรรม เช่น การตั้ง KPI ด้านเวลาเฉลี่ยในการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน อัตราความผิดพลาดต่อเดือน ระยะเวลาการคืนทุนจากการลงทุนในเทคโนโลยี และระดับความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อใช้ในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงแนวทางบริหารที่ผสมผสานการเติบโตเชิงรุกกับความระมัดระวังทางการเงินอย่างสมดุล

และในด้านการขยายพื้นที่ให้บริการ NAP เลือกเดินหน้าแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก่อนขยายไปยังภาคใต้และฝั่งตะวันออก และมีแผนเข้าสู่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในอนาคต ซึ่งไม่ได้พึ่งเพียงการตั้งสาขาใหม่ แต่ใช้โมเดลพันธมิตรท้องถิ่นที่บริหารร่วมกับ Control Room ส่วนกลาง เพื่อลดต้นทุนและควบคุมมาตรฐานได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้การขยายตัวไม่เสี่ยงจนเกินไป และยังรักษาคุณภาพบริการคงที่แม้จะขยายสเกลต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ในเชิงกลยุทธ์เพิ่มเติม NAP ยังสร้างความแตกต่างด้วยการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น โรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า ที่ต้องการระบบความปลอดภัยเข้มงวดและมีมูลค่าสูง พร้อมทั้งนำเสนอบริการแบบ Subscription สำหรับรายงานการวิเคราะห์ความปลอดภัยที่สร้างรายได้ประจำมั่นคง และการสร้างพันธมิตรเชิงเทคโนโลยีกับผู้ผลิตกล้องหรือซอฟต์แวร์เพื่อลดต้นทุนการอัปเกรดในระยะยาว รวมถึงการยกระดับแบรนด์ด้วยมาตรฐานสากล และรายงานตรวจสอบภายในที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ได้มากขึ้น

ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า NAP ไม่ได้เป็นเพียงบริษัทรักษาความปลอดภัยทั่วไป แต่กำลังพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ให้บริการด้านอาคารครบวงจร ที่ผสานกำลังคนคุณภาพสูง เทคโนโลยีล้ำสมัย และระบบการบริหารจัดการที่โปร่งใส เข้าด้วยกัน ทำให้บริษัทพร้อมขยายสู่ตลาดภูมิภาคในระดับประเทศ และสร้างรากฐานแข็งแกร่งสำหรับการก้าวสู่ตลาดทุนในอนาคต พร้อมพิสูจน์ให้เห็นว่า การเติบโตในธุรกิจบริการยุคใหม่ต้องอาศัยการวางกลยุทธ์รอบด้าน การบริหารความเสี่ยงอย่างสมดุล และการสร้างความเชื่อมั่นจากทั้งลูกค้าและนักลงทุน ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันให้ NAP ก้าวสู่การเป็นองค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมรักษาความปลอดภัยของไทยได้อย่างแท้จริง