Moshi Moshi ค้าปลีกที่เริ่มจาก ร้านกิ๊ฟช็อปสำเพ็ง สู่รายได้ 2,000 ล้าน

“Moshi Moshi” ชื่อร้านนี้อาจจะฟังดูญี่ปุ่น แต่จริง ๆ แล้วร้านขายสินค้าแนวไลฟ์สไตล์นี้เป็นของคนไทย ที่มีจุดเริ่มต้นย้อนหลังไปถึงปี 2516 โดยครอบครัวบุญสงเคราะห์ได้เริ่มทำธุรกิจร้านค้าปลีกเครื่องเขียนและสินค้ากิ๊ฟช็อป ก่อนที่จะพัฒนารูปแบบจนเป็นธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ ในปี 2559 ภายใต้ชื่อร้าน Moshi Moshi สาขาแรกที่สำเพ็ง
โดยตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ในช่วงนั้นมีผู้เล่นเล็กหลายราย ทำให้ยังไม่มีเจ้าตลาด ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ Moshi Moshi ฉีกตัวแตกต่างจากคู่แข่งมากหน้าหลายตาได้ก็จะต้องเป็นการสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาให้น่าสนใจ
ในจุดนี้ Moshi Moshi ได้สร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ด้วยการสร้างภาพจำว่าตัวเองเป็นร้านสไตล์ญี่ปุ่น เห็นได้จากชื่อของร้านที่เป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่า สวัสดี ส่วนสินค้าก็มีการออกแบบให้เรียบ ๆ น่ารัก ๆ เพื่อตอกย้ำความเป็นญี่ปุ่นของร้าน
สิ่งที่เราจะเห็นอีกก็คือ บริษัทยังจัดผังร้านชั้นวางโชว์อย่างเป็นระเบียบ เพื่อช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ และยังเปิดไฟให้สว่างไสว เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาเดินเลือกซื้อของ
การพยายามสร้างแบรนด์ของ Moshi Moshi ประกอบกับความเข้าใจตลาดคนไทยของทีมผู้บริหาร ที่ทำธุรกิจค้าปลีกมาแล้วหลายสิบปี ได้ผล เพราะภายหลังจากนั้น Moshi Moshi ก็เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้ในปัจจุบัน Moshi Moshi สามารถขยายสาขาไปแล้วมากกว่า 100 สาขา อีกทั้งยังสามารถ IPO เข้าตลาดหุ้นไทยได้อีกด้วย
ทีนี้ลองมาส่องผลประกอบการของบริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เจ้าของร้าน Moshi Moshi
ปี 2567 ช่วง 9 เดือนแรก รายได้ 2,076 ล้านบาท กำไร 315 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 2,543 ล้านบาท กำไร 402 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 1,896 ล้านบาท กำไร 253 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาบริษัทเติบโตได้ค่อนข้างดี แต่จากตัวเลขข้างต้น สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ อัตรากำไรสุทธิ ที่จะเห็นได้ว่าในช่วง 9 เดือนล่าสุด รวมถึงปี 2566 อัตรากำไรสุทธิจะอยู่ที่ประมาณ 15% ซึ่งถือว่าสูงกว่าคู่แข่งมาก หรือพูดง่าย ๆ คือ Moshi Moshi ขายของหนึ่งชิ้นมีกำไรตกเข้ากระเป๋าเจ้าของมากกว่าคู่แข่งร้านอื่น
บริษัท ซิงไท่ เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ได้รับสิทธิ์บริหารร้าน Miniso ในไทยแต่เพียงผู้เดียว
ปี 2566 รายได้ 1,159 ล้านบาท กำไร 35 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 3%
 
บริษัท ไดโซ ซังเกียว (ประเทศไทย) จำกัด
ปี 2566 รายได้ 853 ล้านบาท กำไร 25 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 2.9%
อัตรากำไรสุทธิที่สูงกว่าคู่แข่งนี้เองถือว่าเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากของ Moshi Moshi ซึ่งบ่งชี้ถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนของบริษัท โดยอัตรากำไรสุทธิที่สูงยังช่วยให้บริษัทมีความสามารถในการตั้งราคาสินค้ามากกว่าคู่แข่งอีกด้วย
ซึ่งการที่ Moshi Moshi มีอัตรากำไรสุทธิสูงกว่าคู่แข่งก็น่าจะมาจากแบรนด์ที่แข็งแกร่งจึงมีฐานลูกค้า ที่ยอมจ่ายเงินซื้อสินค้าในราคาแพงขึ้น นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทยังพยายามเน้นขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง แทนการเน้นขายในปริมาณมากแทน อีกทั้งปัจจัยสำคัญอีกอย่างคือการเร่งขยายสาขาของร้าน ทำให้บริษัทมีการประหยัดต่อขนาด หรือ Economies of Scale เพราะเมื่อต้องสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากไปลงหน้าร้านต่าง ๆ ก็จะได้ต้นทุนต่อชิ้นที่ถูกลง
อย่างไรก็ตาม ในสมรภูมิค้าปลีกไลฟ์สไตล์ของไทยก็เพิ่งมีคู่แข่งรายใหญ่เข้ามาซึ่งก็คือ KKV ในเครือ KK Group จากจีน ที่เริ่มขยายสาขามายังประเทศอาเซียน รวมถึงไทยด้วย โดยร้าน KKV จะมีจุดเด่นที่มีพื้นที่ต่อสาขาขนาดใหญ่ ตกแต่งแบบทันสมัย และมีสินค้าให้เลือกเป็นจำนวนมาก
ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าการเข้ามาของร้าน KKV ก็น่าจะมีโอกาสไปแย่งส่วนแบ่งการตลาดของร้านค้าปลีกที่มีสินค้าคล้ายกันในไทยไปได้ไม่น้อย
ที่มา: Settrade, กรมธุรกิจการค้า
ผู้เขียนและเรียบเรียง: พรบวร จิรภัทร์วงศ์