ถ้าย้อนกลับไปสัก 10 ปีที่แล้ว ร้านอาหารที่โด่งดังมากร้านหนึ่งคงหนีไม่พ้น “ร้านสุกี้ MK” หรือเอ็มเค ที่ได้รับความนิยมผ่านการวางโพสิชันตัวเองเป็นร้านที่เสิร์ฟแต่วัตถุดิบมีคุณภาพและจัดบรรยากาศให้เหมาะแก่การนั่งกินมื้ออาหารด้วยกันหลายคน จึงสามารถสร้างฐานลูกค้าหลักที่กินอาหารร่วมกับครอบครัวหรือกลุ่มใหญ่ ๆ จนทำให้บริษัทเคยมีกำไรมากถึงกว่า 2,600 ล้านบาท
แต่ตัดภาพมาตอนนี้ เอ็มเคกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ทางร้านเองยังไม่สามารถปรับตัวเพื่อแข่งขันได้ดีพอ โดย 10 ปีที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทเป็นอย่างไรบ้าง ?
ปี 2558 14,478 ล้านบาท กำไร 1,856 ล้านบาท
ปี 2559 15,115 ล้านบาท กำไร 2,100 ล้านบาท
ปี 2560 16,073 ล้านบาท กำไร 2,425 ล้านบาท
ปี 2561 16,770 ล้านบาท กำไร 2,574 ล้านบาท
ปี 2562 17,409 ล้านบาท กำไร 2,604 ล้านบาท
ปี 2563 13,361 ล้านบาท กำไร 907 ล้านบาท
ปี 2564 11,181 ล้านบาท กำไร 131 ล้านบาท
ปี 2565 15,728 ล้านบาท กำไร 1,439 ล้านบาท
ปี 2566 16,661 ล้านบาท กำไร 1,682 ล้านบาท
ปี 2567 15,418 ล้านบาท กำไร 1,442 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า รายได้และกำไรของบริษัทขึ้นไปพีคช่วงปี 2562 โดยภายหลังที่เจอภาวะโรคระบาดจนมาเปิดร้านอีกครั้ง ผลประกอบการของบริษัทก็สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังคงลุ่ม ๆ ดอน ๆ จนถึงปีที่แล้ว ที่ทั้งรายได้และกำไรปรับลดลงจากปีก่อนหน้าด้วยซ้ำ
เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีคู่แข่งหลายคนกระโดดลงเล่นในตลาดสุกี้มากขึ้น ซึ่งหนึ่งในร้านที่เป็นกระแสที่สุดก็คือ “สุกี้ตี๋น้อย” ที่เริ่มเปิดร้านแรกช่วงปี 2563 และได้รับความนิยมจากโมเดลธุรกิจบุฟเฟต์ชาบูในราคาไม่แพง ทำให้สามารถจับตลาดแมสได้ ในขณะที่เอ็มเคจับตลาดลูกค้าที่พรีเมียมกว่าอยู่
อย่างไรก็ตาม เมื่อการแข่งขันรุนแรงขึ้น เอ็มเคเริ่มสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด จึงเริ่มใช้กลยุทธ์หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น การรีแบรนด์ หันไปเน้นขายน้ำจิ้มสุกี้สูตรของร้านมากขึ้น และการออกโปรบุฟเฟต์ เป็นต้น
แต่นอกเหนือจากโปรบุฟเฟต์ที่เพิ่งออกมาได้ไม่นานแล้ว กลยุทธ์ของเอ็มเคก็ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไรนัก ถ้าดูจากผลประกอบการไตรมาสล่าสุดจนถึงปี 2567
โดยไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทมีรายได้ 3,541 ล้านบาท และกำไร 234 ล้านบาท ลดลง 10.3% และ 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในขณะที่ยอดขายสาขาเดิมปี 2567 ก็ลดลงถึง 10.1% จากปีก่อนหน้าด้วย
อีกเรื่องที่น่าสนใจจากงบการเงินของเอ็มเคก็คือ อัตรากำไร
ถ้าถามหลาย ๆ คน เอ็มเคจะมีภาพลักษณ์ที่ขายของค่อนข้างแพง แต่รู้หรือไม่ว่า ในช่วงที่ผ่านมา เอ็มเคมีอัตรากำไรประมาณแค่ 9-10% เท่านั้นเอง
ปี 2565 อัตรากำไรสุทธิ 9.1%
ปี 2566 อัตรากำไรสุทธิ 10.1%
ปี 2567 อัตรากำไรสุทธิ 9.3%
แปลว่า เอ็มเคขายของได้ 100 บาท จะมีกำไรถึงมือเจ้าของแค่ประมาณ 9 บาท ตัวเลขนี้ถือว่าน้อยแค่ไหน ? ลองดูเคสสุกี้ตี๋น้อยที่เน้นบุฟเฟต์ราคาไม่แพง แต่มีอัตรากำไรที่สูงกว่าเกือบเท่าตัว ทำให้ปีล่าสุดแม้จะมีรายได้ 7,075 ล้านบาท แต่ก็มีกำไรสูงถึง 1,169 ล้านบาท
สุกี้ตี๋น้อย
ปี 2565 อัตรากำไรสุทธิ 14.9%
ปี 2566 อัตรากำไรสุทธิ 17.2%
ปี 2567 อัตรากำไรสุทธิ 16.5%
อัตรากำไรที่ต่ำแบบนี้ก็ทำให้เอ็มเคสามารถปรับลดราคาอาหารลงได้ยาก ทำให้บริษัทอาจจะต้องไปเน้นการกดต้นทุนลง เพื่อเพิ่มกำไรในอนาคต
เคสเอ็มเคเองก็สามารถบ่งบอกธรรมชาติของธุรกิจร้านอาหารได้ดี โดยเป็นธุรกิจที่ผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาได้ง่าย และยิ่งในยุคที่ผู้บริโภคสามารถค้นหาร้านอาหารใหม่ ๆ ได้ง่ายแล้ว การที่ไม่ปรับตัวหรือปรับตัวช้าก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินถอยหลังเลย
ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, finnomena
ผู้เขียนและเรียบเรียง: พรบวร จิรภัทร์วงศ์